Latest Stories

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีปี 2555 ขอให้ปีนี้เป็นปีแห่งความสุขและสนุกสนานสำหรับทุกท่านเลยนะคะ
รีวิวเรื่องแรกของปีนี้ ขอเริ่มด้วย Tip ที่ได้จาก Trip กระบี่ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาค่ะ
สำหรับรีวิวนี้ไม่เขียนเยอะ ขอเปลี่ยนรูปแบบเป็นอธิบายด้วยภาพแทนค่า ^^
พร้อมแล้วก็...บินไปกันเลย
เดินทางธันวา ก็ยังต้องลุ้นสภาพอากาศกันนิดหน่อยค่า
อยากบอกว่าการเที่ยวกระบี่ ไม่ได้มีดีแค่ทะเลสวย จริงๆบนบกก็มีที่สวยๆไม่แพ้กัน หากมีโอกาสจะมารีวิวแต่ละที่นะค้ะ ตอนนี้นำทิปเล็กๆ มาฝากกันก่อน
ที่แรก วัดถ้ำเสือ
 
มีลิงเยอะแยะเลย แต่อย่างที่บอกในภาพค่ะ ^^ ระวังเค้าด้วยนะคะ
เจ้าตัวนี้ ทิ้งขวดลงมาจากหลังคาวัด
หากใครมีแรง อยากให้เดินขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทจำลองค่ะ  ระยะทางประมาณ 1,200 กว่าขั้นบันได เราไปคราวนี้ไม่ไหวจริงๆ
ออกจากวัด อย่าลืมแวะทานขนมจีนไก่ทอด คนพื้นที่บอกห้ามพลาดคะ
อิ่มหนำและไปต่อที่สระมรกต สวยเกินห้ามใจ ไม่แพ้ทะเลอันดามัน
ทางเดินเข้าไปชมก็ร่มรื่น
ระหว่างทางเห็นสีน้ำก็ชื่นใจแล้ว
และมื่อความงามปรากฎต่หน้าที่เดินเข้ามาพอสมควร ก็หายเหนื่อยไปเลยทีเดียว
^^
สถานที่ต่อไปคือน้ำตกร้อน ไม่ร้นมาก แช่ตัวกำหลังอ่นสบาย
ตรงน้ำตกไม่ใหญ่มาก แต่ที่อุทยานมีบ่อที่ทำไว้ให้แช่อีกที่หนึ่งด้วย
กลับจากทัวร์ภาคพื้นก็ไปหาทัวร์ทะเลกันเลย แนะนำหน้าอ่าวนางค่ะ ราคาจะถูกกว่าที่ขายตามโรงแรมหลายร้อยบาททีเดียว
เมื่อถึงวันทริปทางทะเล ก็มีข้อควรปฏิบัติดังนี้ค่า
^^
อันนี้ฝากไว้ด้วยค่า ^^
ร้านอาหารตามชายหาด เอกลักษณ์เลยทีเดียว
ลากันไปด้วยภาพดำน้ำกับปลาที่ดันดามันค่า
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเที่ยวไทยนะค้ะ ^^ พบกันใหม่รีวิวหน้าโดยละเอียด สำหรับทริปกระบี่ค่ะ

Read More ...

Latest Stories

เริ่ม:     Feb 20, '08 6:00p
สิ้นสุด:     Feb 24, '08
ทริปกระบี่ 4 วัน 3 คืน

วันที่ 1 - เดินทางถึงกระบี่ด้วย vios สุดสวย ประมาณ 7 โมงเช้า กินข้าวเช้า
- ออกเดินทางสู่อ่าวนาง รอขึ้นเรือ
9.00 น. – ออกเดินทางสู่ทะเลแหวก ชมวิว ถ่ายรูป เล่นน้ำ 
10.30 น. - พาไปดำน้ำที่เกาะไก่ สนุกกับการดำน้ำชมปะการังและฝูงปลามากมาย
- ชมวิวเกาะไก่

12.00 น. – ขึ้นเกาะปอดะ กินข้าวกลางวัน (ข้าวกล่อง)
ช่วงบ่าย - เดินเล่นบนเกาะปอดะ เล่นน้ำ ชมวิว ถ่ายรูป

14.30 น. - พาเที่ยวชมถ้ำพระนาง เล่นน้ำหน้าหาดถ้ำพระนาง เดินเล่น ชมวิว ถ่ายรูป เล่นน้ำ

16.00 น. - เดินทางกลับสู่อ่าวนาง
16.30 น. - เดินทางหาที่พัก 
18.00 น. - ออกตระเวนกระบี่ยามค่ำคืน
• ราคา 450 บาท/คน (เรือหางยาว)
• ราคารวม ค่าเรือ อาหารกล่อง เครื่องดื่ม ชูชีพ หน้ากาดำน้ำ มัคคุเทศก์ ประกันภัย
------------------------------------------------------------
วันที่ 2 - ออกเดินทางสู่อ่าวนาง รอขึ้นเรือ
9.00 น. – ออกเดินทางสู่หมู่เกาะห้อง แวะชมวิวในลากูนที่เป็นเวิ้งน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยสันเขา
- ออกจากลากูน พาเที่ยวชมชายหาดเกาะห้อง เล่นน้ำ ดำน้ำดูปลามากมาย
- ออกจากเกาะห้อง พาเที่ยวเกาะผักเบี้ย แวะขึ้นชายหาด กินข้าวกลางวัน เล่นน้ำ ชมวิว

13.30 น. – ออกจากเกาะผักเบี้ย พาเที่ยวเกาะไร มีเวิ้งอ่าวเล็กที่มีชายหาด เป็นจุดดำน้ำชม
ปะการัง มีปลาการ์ตูนแดง-ดำ ให้ชมหลายจุด
14.30 น. – ออกเดินทางสู่เกาะแดง พาลงดำน้ำชมปะการัง เกาะแดงเป็นเกาะที่ไม่มีชายหาด ชาย เกาะเป็นจุดดำน้ำชมปะการัง มีดอกไม้ทะเลเยอะ และมีปลาการ์ตูนนีโม่ ให้ชมหลายจุด
16.00 น. - เดินทางกลับสู่อ่าวนาง
16.30 น. - เดินทางหาที่พัก 
18.00 น. - ออกตระเวนกระบี่ยามค่ำคืน

• ราคา 600 บาท/คน (เรือหางยาว)+ 40 บาท(ค่าธรรมเนียมขึ้นเกาะห้อง)
• ราคารวม ค่าเรือ อาหารกล่อง เครื่องดื่ม ชูชีพ หน้ากาดำน้ำ มัคคุเทศก์ ประกันภัย
----------------------------------------------------------















วันที่ 3 - ออกเดินทางสู่อ่าวนาง รอขึ้นเรือ
9.00 น. – ออกเดินทางสู่หมู่เกาะพีพี แวะชมเกาะไม้ไผ่ ขึ้นเกาะ ถ่ายรูป ชมวิว เดินเล่นชายหาด
ดำน้ำชมปะการัง

- ออกจากเกาะไม้ไผ่ มุ่งสู่เกาะพีพีเล แวะชมถ้ำไวกิ้ง พาเข้าอ่าวโล๊ะซามะ พาเข้าไปชมวิว
ในลากูนที่ล้อมรอบด้วนสันเขา


- ออกจากลากูน พาเที่ยวชมอ่าวมาหยา เรือจอดให้ดำน้ำชมปะการังหน้าอ่าวมาหยา
จากนั้นพาขึ้นเกาะ เดินเล่นบนชายหาด


12.30 น. – ขึ้นเกาะพีพีดอนที่อ่าวต้นไทร กินข้าวกลางวัน (บุฟเฟ่ต์ในร้านอาหาร)
บ่าย - เดินเล่นชายหาด ชมวิวเกาะพีพีดอน
14.00 น. - พาดำนำที่อ่าวลิง มีกัลปังหากอใหญ่ ปะการังเขากวาง นีโม่
- ขากลับเรือวิ่งผ่านแนวปะการังกลางทะเล หากเป็นช่วงน้ำลง เรือจะแวะให้ลงดำน้ำ
อีกจุด(เป็นโปรแกรมแถม)
16.00 น. - เดินทางกลับสู่อ่าวนาง
16.30 น. - เดินทางหาที่พัก 
18.00 น. - ออกตระเวนกระบี่ยามค่ำคืน

• ราคา 1800 บาท/คน (เรือเร็ว)
• ราคารวม ค่าเรือ อาหารกล่อง เครื่องดื่ม ชูชีพ หน้ากาดำน้ำ มัคคุเทศก์ ประกันภัย
----------------------------------------------------------

วันที่ 4 
น้ำตกร้อน น้ำตกที่ไหลหลั่นลงมาจากเนินเขากลางป่า โดยมีแหล่งแร่น้ำร้อนใต้ดิน ก่อนไหลสู่อ่าง อาบน้ำธรรมชาติ
น้ำตกร้อน ตั้งอยู่บริเวณบ้านบางคราม-บ้านบางเตียว อยู่ห่างจากอำเภอเมืองกระบี่ตามถนนเพชรเกษม (กระบี่-ตรัง) ประมาณ ๔๕ กิโลเมตร จากนั้นแยกเข้าถนนสุขาภิบาล ๒ ตรงที่ว่าการอำเภอคลองท่อมไปอีก ๑๒ กิโลเมตร เป็นน้ำพุร้อนแห่งหนึ่งในบรรดาน้ำพุร้อนอีกหลายแห่งที่กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณนี้น้ำจะไม่ร้อนมาก มีอุณหภูมิประมาณ ๔๐-๕๐ องศาเซลเซียส เป็นน้ำร้อนที่ซึมขึ้นมาจากผิวดินซึ่งมีป่าละเมาะปกคลุมร่มรื่น สายน้ำไหลไปรวมกันตามความลาดเอียงของพื้นที่ บางช่วงมีควันกรุ่นและคราบหินปูนธรรมชาติพอกอยู่เป็นชั้นหนาทำให้เกิดทัศนียภาพสวยงามแปลกตา โดยเฉพาะบริเวณที่ธารน้ำร้อนไหลลงสู่คลองท่อมลดระดับเกิดเป็นลักษณะคล้ายชั้นน้ำตกเล็ก ๆ ค่าเข้าชม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท


สระมรกตสระน้ำสวยใสกลางใจป่า ที่มีน้ำใสเป็นสีเขียวอมฟ้าเปลี่ยนสีไปได้ตามวันเวลาและสภาพแสง
สระมรกต กำเนิดมาจากธารน้ำอุ่น ในผืนป่าที่ราบต่ำภาคใต้ เป็นน้ำพุร้อนลักษณะเป็นสระน้ำร้อน ๓ สระ น้ำใสเป็นสีเขียวมรกต มีอุณหภูมิประมาณ ๓๐-๕๐ องศาเซลเซียส รอบๆ บริเวณเป็นป่าร่มรื่นเขียวครึ้มมีพรรณไม้ที่น่าสนใจ รวมทั้งนกที่หาดูได้ยากเช่น นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเต็นสร้อยคำสีน้ำตาล และนกเงือกดำ โดยมีมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) ซึ่งตั้งชื่อตามคุณทีนา โจลิฟฟ์ ชาวอังกฤษ ผู้ริเริ่มความคิดที่จะรักษาอนุรักษ์ป่าดิบชื้นผืนนี้ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย เพื่อเป็นการระลึกถึงความตั้งใจและเป็นอนุสรณ์สำหรับคุณทีนา จึงตั้งชื่อเส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นนี้ว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) เส้นทางเดินศึกษานี้มีระยะทาง ๒.๗ กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายสื่อความหมายที่จะคอยบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในป่าให้นักเดินทางได้ศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ก่อนถึงสระมรกตของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม ประมาณ ๘๐๐ เมตร เส้นทางจะผ่านผืนป่าเล็ก ๆ ซึ่งเป็นป่าที่ราบต่ำที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยทางภาคใต้ของประเทศไทย เส้นทางนี้จะแสดงลักษณะของป่าดิบชื้นที่ราบต่ำอย่างแท้จริง ภายหลังได้มีการจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางครามขึ้น ค่าเข้าชม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
การเดินทาง จากกระบี่ถึง อ.คลองท่อม เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 4038 แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนรพช. และตามป้ายบอกทางไปจะพบน้ำตกร้อน และสระมรกต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงาน ททท. ภาคใต้ เขต 4 โทร. 0-7621-1036, 07621-2213, 0-7621-7138

สำรวจถ้ำเขาขนาบน้ำ ล่องแม่น้ำกระบี่ 
แม่น้ำกระบี่เป็นสายน้ำเส้นหลักของจังหวัดมีต้นน้ำอยู่ที่เขาพนมเบญจาในเขตอำเภอเขาพนมไหลผ่านหน้าเมืองกระบี่แล้วไปออกทะเลอันดามันเสน่ห์ของการล่องเรือที่แม่น้ำสายนี้คือการได้สัมผัสธรรมชาติป่าชายเลนโดยไม่ต้องเดินทางสมบุกสมบัน เพราะป่าที่สมบูรณ์ผืนนี้ตั้งอยู่ใกล้แค่หน้าเมือง ทั้งได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวประมงชายฝั่งที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ
เขาขนาบน้ำ เป็นเขาสองลูกสูงประมาณ 100 เมตร ขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัวเมืองถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีเท่านั้น จากนั้นต้งอขึ้นบันไดไปชมถ้ำซึ่งภายในมีหินงอกหินย้อย และเคยพบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากมายอยู่ในบริเวณนี้ สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นโครงกระดูกของกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งหลักแหล่งแต่ล้มตายลงเนื่องจากเกิดอุทกภัยอย่างฉับพลันครับ


บริเวณท่าเรือ จุดนี้จะมีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และเป็นท่าเรือมุ่งไปสู่เขาขนาบน้ำ (ภาพโดย: Mushu)

สัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ ทิวทัศน์อันคุ้นตานี้มองทีไรก็ดูมีเสน่ห์

เรือนำเที่ยว โฉมหน้าของเรือที่จะนำพวกเราล่องไปชมธรรมชาติ ซึ่งมีเสื้อชูชีพไว้เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอีกด้วย

ทิวทัศน์อันสวยงาม นอกจากทิวทัศน์ธรรมชาติแล้ว บรรดาเรือต่างๆที่คอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ก็สร้บรรยากาศให้รู้สึกอยากไปเที่ยวมากขึ้น

• ค่าเรือหางยาวนั่งชมทิวทัศน์เขาขนาบน้ำ และธรรมชาติบริเวณใกล้เคียง 
o คนละ 100 บาท หรือ 
o เหมาเรือ ชั่วโมงละ 300 บาท หรือ 
o เหมาเรือ วันละ 1800 บาท













ท่าปอม คลองสองน้ำ
ลแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของอบต.เขาคราม เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่กำลังจะได้รับการประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนชุดที่ 2 ซึ่งกำลังจะเปิดตัวอีกไม่กี่วันนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ซึ่งมีชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “ท่าปอมคลองสองน้ำ” ความพิเศษของป่าท่าปอมคลองสองน้ำก็คือ เป็นป่าชายเลน ที่น้ำเค็มท่วมถึงยามน้ำขึ้น ผสมผสานกับป่าพรุที่มีสายธารน้ำจืดซึ่งเป็นธารน้ำพุใสสะอาดจากใต้ดิน ไหลรินผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตามช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำลง คลองท่าปอมจึงกลายเป็นคลองสองน้ำ ที่บางช่วงเวลาก็จะกลายเป็นคลองน้ำจืดสะอาดใสไหลเย็นฉ่ำ บางช่วงเวลาก็จะกลายเป็นคลองน้ำเค็ม โดยมีผืนป่ารอบข้างที่มีทั้งป่าชายเลนซึ่งเป็นป่าที่เติบโตอยู่ในน้ำกร่อยและน้ำเค็มผสมผสานกับป่าพรุน้ำจืด ซึ่งป่าทั้งสองต่างปรับตัวอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน นั่นเป็นความน่าสนใจของป่าท่าปอมคลองสองน้ำที่ทำให้ผมต้องแวะไปเยือน 

จากกระบี่ใช้เส้นทางกระบี่-อ่าวลึก ระยะทางประมาณ 22 กิโลเมตรก็จะถึงบริเวณ อบต.เขาครามเลี้ยวซ้ายตรงสามแยกที่ป้อมตำรวจ มีป้ายบอกทางเข้าสู่ท่าปอมคลองสองน้ำ มีป้ายบอกทางเป็นระยะจนถึงบริเวณลานจอดรถ ซึ่งเป็นลานจอดรถของเอกชนที่ดัดแปลงสวนปาล์มและสวนผลไม้มาให้บริการอย่างร่มรื่น ค่าจอดรถคันละ 20 บาท เดินลงมาอีกราว 100 เมตร ก็จะถึงริมคลอง ซึ่งประวัติความเป็นมาของคลองท่าปอมหรือคลองสองน้ำนี้ เล่าสืบกันมาว่า แต่เดิมชาวบ้านถือว่าผืนป่าบริเวณคลองสองน้ำนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ค่อยมีใครกล้ากล้ำกรายเข้าไป กระทั่งมีชาวบ้านที่มีความแก่กล้า มีวิชาอาคมเข้ามาบุกเบิกทำไร่ทำสวนและอาศัยอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ซึ่งต่อมาก็เริ่มมีชาวบ้านตามเข้ามาอาศัยอยู่จนเป็นชุมชน แต่ชาวบ้านก็ยังคงถือว่าคลองสองน้ำและผืนป่ารอบข้างเป็นผืนป่าและแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงช่วยกันดูแลรักษาไว้เป็นป่าของชุมชน ความงดงามเป็นธรรมชาติของคลองท่าปอมทำให้เริ่มมีผู้คนเข้าไปเที่ยวชม กระทั่ง อบต.เขาคราม จังหวัดกระบี่ ได้เข้ามาดูแลจัดการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก ททท.จัดทำเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 700 เมตร ลักษณะเป็นสะพานไม้ที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ทอดยาวเป็นวงรอบไปเหนือผืนป่าพรุและป่าชายเลน เพื่อจำกัดให้ผู้คนไม่เข้าไปเหยียบย่ำในผืนป่าพรุและป่าชายเลนบริเวณนั้น จัดเจ้าหน้าที่คอยควบคุมดูแลไม่ให้นักท่องเที่ยวนำอาหารเข้าไปกิน และไม่ทิ้งขยะ 

บนเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาตินี้ยกระดับขึ้นมาราว 2 เมตรจากพื้นดิน ทำให้เป็นระดับที่สามารถมองเห็นเรือนยอดของไม้พุ่มที่แรกเข้าไปส่วนใหญ่จะเป็นไม้ป่าชายเลนอย่างโกงกางที่มีรากค้ำยันให้เห็นอย่างเด่นชัดทางด้านขวามือ ในขณะที่ลึกเข้าไปทางด้านซ้าย เป็นพื้นที่ของป่าพรุ ซึ่งเป็นพรุน้ำจืดที่มีไม้เด่นๆที่สามารถพบเห็นได้อย่างชมพู่น้ำ เสม็ด ตังหน และพืชวงศ์ปาล์มอย่าง หวาย หมาก ระกำ หลุมพี หลาวชะโอน เป็นต้น ป่าทั้งสองประเภทต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เพราะต้องทนทานให้หยัดยืนอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและในน้ำเค็มของสภาพภูมิประเทศที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้ ในยามสายวันนั้น เป็นช่วงน้ำขึ้น ซึ่งน้ำทะเลจากปากคลองไหลดันขึ้นมาจนท่วมผืนป่ารอบข้างสะพานทางเดิน มองไปก็คล้ายกับสภาพของป่าชายเลนที่พบเห็นทั่วไป มองเห็นฝูงปลากระบอกและปลาทะเลอีกหลายชนิด ว่ายเข้ามาหากินตามผืนป่าโกงกาง แต่เมื่อนั่งชมอยู่จนใกล้เที่ยงน้ำเริ่มลง ไปเรื่อยๆ น้ำในคลองเริ่มใสขึ้นมาอย่างผิดตา ด้วยเป็นเพราะอิทธิพลของสายธารน้ำจืดจากคลองท่าปอม ไหลดันน้ำเค็มลงไป เริ่มมองเห็นพืชน้ำใบเขียวสด ที่เมื่อครู่จมอยู่ใต้ผืนน้ำเค็ม พืชเหล่านี้มีเวลารับแดดรับแสงตะวันเป็นช่วงๆ และจมอยู่ใต้ผืนน้ำ ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มเป็นช่วงๆเช่นกัน นับเป็นความมหัศจรรย์ยิ่งที่พืชเหล่านี้สามารถปรับตัวให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ในสภาพที่ไม่เหมือนพื้นที่อื่นใด 

มองลงไปในน้ำใสจะเห็นฝูงปลาขนาดเล็กว่ายเวียนกันไปมา ปลาเหล่านี้ก็มีความเป็นสุดยอดของชีวิตที่สามารถจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมพิเศษเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อของน้ำขึ้นและน้ำลง ซึ่งน้ำในคลองสายเดียวกันที่เดียวกัน แต่บางช่วงเวลากลายเป็นน้ำจืดสนิท บางช่วงเวลาที่ไม่นานนักกลับกลายเป็นน้ำกร่อย น้ำเค็ม ทั้งปลาน้ำจืดในคลองลึกด้านบน กับปลาทะเลน้ำเค็มอย่างปลากระบอกและปลาอีกหลายชนิดที่ว่ายตามน้ำกร่อยเข้ามา ก็ต้องเลือกจัดสรรเวลาให้ดี หากมัวหลงระเริงว่ายเล่นจนเพลิน ปลาทะเลอาจจะต้องกลายเป็นปลาน้ำจืด ปลาน้ำจืดอาจจะต้องกลายเป็นปลาเค็มไปก็ได้ 

สิ่งที่งดงามอย่างหนึ่งริมสายธารใสไหลเย็นของคลองท่าปอมก็คือ รากไม้ที่คดเคี้ยว แตกแขนงงดงาม เพราะไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ในสภาพดินเลนดินชุ่มน้ำ ง่ายต่อการโค่นล้ม จึงต้องมีรากที่แผ่กว้างเป็นฐานยึดเกาะค้ำยัน รากไม้เหล่านี้ช่วยสร้างริมสองฝั่งคลองท่าปอมให้งดงามยิ่ง 

หากสำรวจลึกทวนสายน้ำท่าปอมขึ้นไป ซึ่งบริเวณนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวล่วงล้ำเข้าไป ราว 250 เมตร จะพบสระน้ำสีไพลินงดงามใสวาวอยู่ในท่ามกลางป่าเขียวขจี ชาวบ้านเรียกสระน้ำกลางป่าลึกนี้ว่า แอ่งท่าปอม หรือบางคนก็เรียกสระมรกต เป็นอ่างน้ำที่เกิดจากทางน้ำใต้ไหลพุขึ้นมา และหากเดินขึ้นไปอีกราว 500 เมตร ก็จะพบอ่างน้ำลักษณะเดียวกันอีกอ่างซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า สระน้ำช่องพระแก้ว ซึ่งเป็นน้ำที่เกิดจากธารน้ำใต้ดิน










เช่นกัน สระน้ำทั้งสองมีเส้นทางไหลใต้ดินเชื่อมต่อถึงกัน ก่อนที่จะไหลออกมาเป็นสายธารคลองท่าปอมทั้งสาย ฉะนั้นน้ำในคลองท่าปอมจึงมีความเย็นและใสอยู่ตลอดเวลา 
ความงดงามและมหัศจรรย์ของธารน้ำที่มีลักษณะเฉพาะอย่างคลองท่าปอมนั้น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าเข้าไปศึกษาเข้าไปสัมผัส แต่สิ่งที่น่าห่วงใยก็คือ ปริมาณของนักท่องเที่ยว ที่แม้นจะยังไม่ได้เปิดให้เที่ยวชมอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากไปเที่ยวชมและลงเล่นน้ำกันจนเต็มสายธารไปหมด ทำให้รากไม้ ต้นไม้ ริมฝั่งคลองเริ่มจะทรุดโทรม ผมคงได้แต่หวังว่าเมื่อ ทางอบต.เขาครามจะรีบจัดระบบให้แล้วเสร็จ และเปิดให้เข้าเที่ยวชมกันโดยมีการจำกัดปริมาณของนักท่องเที่ยว และมีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎระเบียบการเข้าเที่ยวชมอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นไม่เกิน 3 ปี ก็คงไม่เหลือความงดงามมหัศจรรย์ไว้ให้เห็น 

ป.ล. รวมๆแล้ว ตลอดทริปน่าจะอยู่ที่ราวๆ 6000 บาท แต่เราน่าจะได้เที่ยวเยอะกว่าไปกะทัวร์

*** โปรแกรมนี้รวบรวมมาจากหลายๆเวบไซด์เพื่อเป็นข้อมูลในการเดินทางท่องเที่ยวกันเอง
โดยจุดมุ่งหมายหลักคือไปซื้อ one day trip ที่กระบี่


กระบี่ออนทัวร์
Read More ...

Latest Stories

กลับมาแว้วววววววว จากการเที่ยวกระบี่ โดยสายการบินแอร์เอเซียตลอดทริป จากเชียงใหม่ - กรุงเทพ - กระบี่ - กรุงเทพ - เชียงใหม่ วันที่ 10-13 พ.ค. หลังจากวางโปรแกรมเที่ยวล่วงหน้าข้ามปี จากโปรโมชั่นดูดเงิน ราคาตั๋ว 0 บาท จ่ายแต่ค่าธรรมเนียมและน้ำมัน

วันแรกเดินทางตลอดทั้งวันกว่าจะถึงกระบี่ก็ปาเข้าไปหกโมงครึ่ง แถมได้เที่ยวสุวรรณภูมิ 2 ชั่วโมงเต็ม ไปเห่าหอนใส่เครื่องบินเป็นบ้านนอกเข้ากรุงจริง ๆ ใครยังไม่ได้ไปสุวรรณภูมิ ขอบอกว่าของกินราคาไม่แพงมากแนะนำ ฟู๊ตคอร์ทชั้น 1 กับมินิมาร์ทชั้น 3 นะครับ ราคาปกติเหมือนข้างนอก แต่นั่งทานในร้าน ก็แพงหน่อย

ถึงกระบี่ก็นั่งรถตู้จากสนามบินเข้าสู่โรงแรม (จองไว้ราคา 600 บาท) พักที่โรงแรมบุรีธารา อยู่ระหว่างอ่าวนาง กับหาดนพรัตน์ธารา ราคาห้องคืนละ 1,800 บาท (จองไว้ในงานท่องเที่ยวไทย) เป็นโรงแรมใหม่ เปิดยังไม่ถึงปี การบริการก็มีขลุกขลักนิดหน่อย แต่รวม ๆ ก็โอเคเลยครับ พอมาถึงก็รีบเช็คอินเลย เพราะหิวมั่กมาก เกือบสองทุ่มถึงได้ออกไปทานข้าว วันแรกทานที่ร้านวังทรายซีฟู๊ต อร่อยมาก แนะนำเลยครับร้านนี้มาแล้วอย่าพลาด อาหารอลังมาก อยู่ติดทะเลลมแรงเย็นสบายดี เสร็จแล้วก็กลับโรงแรม เพราะพรุ่งนี้มีออกทะเลทริปทะเลแหวก ใส่รูปโรงแรมให้ดูกันนะ
ในห้องนอน เน้นให้มาเป็นคู่แหะ อ่างล้างหน้าก็มีสองอัน อ่างอาบน้ำเล็กมาก เขาบอกว่าถ้าลงพร้อมกันจะได้ใกล้ชิดกัน ในห้องน้ำมีฟักบัวแยกต่างหากด้วย


ห้องที่จองมาด้านหลังเป็นสระว่ายน้ำเลย ออกมาลงน้ำทุกวัน แต่เสียดายไม่ติดทะเลนะจ๊ะ (แต่รับรองไม่ต้องกลัวซึนามิเลย เพราะเป็นจุดปลอดภัย555)
มุมมองจากด้านหลังห้องที่อยู่ เงียบมากไม่ค่อยพลุกพล่านสบาย ๆ เหมาะกับการพักผ่อนที่สุด
ทีแรกว่าจะเขียนต่อในภาคแรก แต่ทำไมโหลดรูปในความคิดเห็นไม่ได้ง่ะ เลยขอต่อภาคสองนะครับ เพราะยังไม่ได้เจอพระเอก นางเอกของเรื่องเลย

วันที่สองของการเดินทาง วันนี้จองเรือไปเที่ยวทะเลแหวก รวม 4 เกาะ ก็มีเกาะปอดะ เกาะทับ เกาะหม้อ เกาะไก่ หาดพระนาง และหาดไร่เลย์ ออกจากท่าเรือ ตอนเกือบ 10 โมง ค่าเรือหางยาว เหมาที่หน้าหาดราคาเดียวกัน 2,000 บาทถ้วน มีเสื้อชูชีพให้อย่างเดียว เช่าสน็อกเกิ้ลคนละ 50 บาท ซื้อข้าวกล่องไปทานเอง เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ออกเดินทางได้แวะเกาะแรกที่ปอดะ หาดทรายขาว แดดแรงมาก ๆ ร้อนมากเลยไม่ได้เล่นน้ำ กลัวดำง่ะ ลงจากเรือเดินอยู่บนเกาะซัก 10 นาทีก็ออกเรือไปทะเลแหวกต่อ


ไหน ๆ ก็แวะมาปอดะแล้ว แอบเก็บรูป(พระเอก)เป็นที่ระทึกซักหน่อย ด้านหลังน้ำทะเลใสเห็นปลาเต็มเลย เขาให้อาหารปลากันอยู่ เราเตรียมมาแต่อาหารตัวเอง ไม่มีให้ปลากิน เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันเนาะ

ถึงแล้วทะเลแหวก แต่ช่วงที่ไปน้ำทะเลมันตาย(เขาบอก) ไม่แหวกแล้ว แต่ยังสามารถเดินข้ามไปได้ ระหว่างเกาะไก่กับเกาะหม้อ น้ำลึกประมาณเอวเอง มาแล้วก็ไปเดินลุยเอามันส์


ตรงนี้เป็นระหว่างเกาะทับกับเกาะหม้อ มันก็จะแหวกอย่างนี้ตลอดเวลา ทีแรกเลยนึกว่าเป็นทะเลแหวก ทำไมสั้นจัง (โง่นี่)


จากทะเลแหวกนั่งเรือมาอีกด้านของเกาะไก่ จะได้เห็นหัวไก่อย่างนี้ ตรงนี้เป็นจุดดำน้ำดูปลาและปะการังที่ดำแล้วไม่เห็นจะเจอ แต่มีปลาเยอะ เลยดำกันแค่ 15-20 นาที กลับไปที่หาดพระนางและหาดไร่เลย์ ทีแรกนึกว่าจะเจอฝนเพราะเห็นตกอยู่กลางทะเล และพัดมาทางเรือ แต่ปรากฏว่าลมเปลี่ยนทิศ เลยไม่เจอฝนซักหยด กลับมาถึงโรงแรมบ่าย 2 กว่า ๆ มาเล่นน้ำหลังห้องถึง 4 โมงเย็น อาบน้ำแต่งตัวไปทานข้าวที่หาดนพรัตน์ธารา ร้าน "ครัวธารา หลังสึนามิ" นั่งสามล้อที่กระบี่ไประหว่างหาดคนละ 20 บาท แล้วแวะไปเดินเล่นสำรวจของขายที่อ่าวนางซักหน่อย ค่อยกลับมานอนเตรียมพร้อมต่อพรุ่งนี้ครับ
ติดตามตอนจบกันได้เลยครับ กับ 2 วันสุดท้าย ในกระบี่
วันที่สาม วันนี้ออกกันแต่เช้าเพราะระยะทางที่จะไปไกลกว่าทริปทะเลแหวก วันนี้เราไปกันที่เกาะห้อง ใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชั่วโมง เกาะแรกที่ไปคือเกาะผักเบี้ย เป็นเกาะเล็ก ๆ หาดทรายขาว น้ำใส ไปนั่ง ๆ นอน ๆ ซักแป๊ปเดียวก็ออกเรือไปเกาะลาดิง หรือเกาะรังนก แต่คนเรือที่พาไปเรียกว่า พาราไดซ์ ที่เขาเรียกว่าเกาะรังนกเพราะว่ามีคนที่ทำรังนกอาศัยกันอยู่บนเกาะนี้ เป็นคนงานของบริษัทที่รับสัมปทานมาอีกที แล้วไปต่อที่เกาะห้องในลากูนน้ำลกแล้ว ทำให้อยู่ได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นเรือจะเกยตื้น แต่ถ้าไปเช่าเรือคายัคมาพายก็สบาย ๆ แต่วันนี้แดดร้อนมากและขี้เกียจเลยไม่เอาดีกว่า ค่าเช่าก็ 400 บาท พายจนเหนื่อย ไปหยุดพักที่หาดบนเกาะห้อง เสียค่าขึ้นเกาะ 20 บาท แดดร้อนมากๆๆๆ แต่ลมเย็นสบาย หามุมสงบใต้ต้นไม่นอนพัก เผลอแป๊ปเดียวนอนหลับไปเกือบชั่วโมง ทีแรกว่าจะไปดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นต่อ แต่ว่าลมและคลื่นแรง เลยไม่ไปดีกว่า กลับกันดีกว่า มาถึงโรงแรมบ่ายสามโมง วันนี้เล่นน้ำจนึง 5 โมงเย็นเลย เอาให้คุ้มนานมาเที่ยวทั้งที (แต่ไม่ชอบเล่นน้ำทะเล มันร้อนกลัวดำ และมันเหนียวตัวง่ะ) ขึ้นจากน้ำ ตัวเปื่อยได้ที่ ก็อาบน้ำไปหาอะไรกิน วันนี้อาหารเย็นไม่ค่อยประทับใจเพราะไปลองกินที่คล้าย ๆ ฟู๊ตคอร์ทตรงอ่าวนาง แต่แพงเหมือนร้านอาหาร และได้นิดเดียว รสชาดก็งั้น ๆ ใครไปอย่าได้เผลอไปกินเชียว เข็ดครับ ยังไม่พอไปกินไอศกรีม ร้าน home made จำชื่อไม่ได้ แต่สีร้านสดใสๆ มีร้านเดียว แพงมาก อุตสาห์สั่ง 4 ลูก 160 บาท เพราะว่าเห็นขายลูกเดียว 49 บาท ประหยัดเกือบยี่สิบบาท ปรากฏว่าได้เท่ากับ้วยน้ำแข็งใสเอง ตักให้ลูกกระจึ๋งนึง แต่ซื้อเป็นลูกได้เกือบครึ่งของที่สั่ง โง่จริง เข็ดอีกแล้วครับ โชคยังดีเจอร้านขายโรตีอร่อยดี กินได้เลยชื่อเจ๊อะไรจำไม่ได้ แต่แกขายอยู่หน้าโรงแรมอ่าวนางวิลล์รีสอร์ท เสร็จแล้วก็กลับเข้านอนพรุ่งนี้เที่ยวบนบกบ้างดีกว่า
ฝากรูปทะเลให้ดูกัน ที่เกาะผักเบี้ยครับ
วันที่สี่ วันนี้เช็คเอาท์โรงแรม นัดรถมารับตอน 9 โมงเช้า ไปเที่ยวบนบกกันบ้าง จองรถไว้ให้ส่งึงสนามบินเลย เหมารวมน้ำมัน 2,400 บาท
ที่แรกก็ไปสุสานหอย 75 ล้านปี ส่วนนางแบบเพิ่งอายุ 27 จ้า แฟนผมเอง (น้องแมว) เป็นเหมือนลานปูน ซึ่งเขาบอกว่าจะยุบตัวพังไปเรื่อย ๆ แล้ว ใครที่อยากซื้อของฝากพวก กระจุกกระจิกที่ไม่ใช่ของกินก็ซื้อกันที่นี่มีให้เลือกเยอะเลย ขนาดว่าแวะดูลานสุสานหอยประมาณ 10 นาที แต่ดูของฝากประมาณครึ่งชั่วโมงเลยง่ะ
มาต่อกันที่เขาขนาบน้ำอยู่กลางเมืองกระบี่เลย ลงรถถ่ายรูปก็ไปกันต่อเลย ทริปนี้ไปกันทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย ผมเอง น้องเหมียว น้องแมว แม่พิมพ์ พ่อวัฒน์ เจี๊ยบ และเต๊ะ(เพื่อนผมมากะแฟน) เรียงจากซ้ายไปขวา

แวะมาไหว้พระกันที่วัดถ้ำเสือ ทำบุญบ้างทำบาปมาเยอะแล้ว ที่วัดนี้จะมีต้นไม้ใหญ่ด้วย แต่กว่าจะเข้าไปดูได้ก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน พอเข้าไปดูต้นไม้มันล้มไปแล้ว เพราะเจอพายุเฮ้อ เวรกำ ตูจะเข้าไปดูทามมายให้เหนื่อยเนี่ย แล้วก็ไม่มีใครบอก แต่ถ้าไหน ๆ ก็มาแล้วมีเวลา ก็เดินเข้าไปดูหน่อยก็ดีครับ เดินจนเหนื่อยไปหาร้านกินข้าวดีกว่า ทีแรกว่าจะไปกินที่ร้านเรือนไม้ แต่ว่าไปถึงคนเต็มร้าน อดเลย นึกว่าโลว์ซีซั่นเลยไม่จองล่วงหน้าก็งี้ เลยไปทานร้านแว ๆ นั้นชื่อ กุลาปาศัย (ประมาณเนี่ย ไม่แน่ใจ) เจ้าของร้านใจดีมาก อาหารพอใช้ได้ สั่งปูนิ่มทอดกระเทียมมามันเค็ม ตอนทานเสร็จเลยบอกเจ้าของร้าน เขาเลยขอติดไว้ให้นามบัตรลด 15% แถมปูนิ่มทอดกระเทียมขนาด 7 คนกิน (เขาเขียนอย่างนี้เลย) ให้มาใช้ที่ร้าน ตอนนี้ให้นามบัตรพี่ชายแมวไปแล้ว เขาจะไปกระบี่ปลายเดือนนี้พอดี แต่ไปแค่ 2 คน ไม่รู้จะกินไหวไหม

อิ่มมาก ๆ ก็ไปต่อกันที่สระมรกต น้ำก็อย่างที่เห็นเหมือนสระว่ายน้ำเลย ลึกประมาณ 1-2 เมตร แต่ไม่ได้ลงเล่น เพราะไม่ได้เอาชุดไปเปลี่ยน แต่ว่ากว่าจะเข้าไปถึงสระก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน อาหารเกือบย่อยหมดแนะ ก็เดินไปซะ 800 เมตร ไป-กลับก็ร่วมกิโลกว่า ๆ เหงื่อแตกพลั่กเลย แล้วไปต่อที่น้ำตกร้อน เอาขาแช่น้ำซัก 5 นาทีก็กลับแล้วเดี๋ยวตกเครื่องบินไม่มีอะไรมาก เอาไว้มาเที่ยวน้ำพุร้อนที่เชียงใหม่มันส์กว่า อุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 40 องศา(น้ำตกร้อน) กำลังดี งสนามบิน 5 โมงครึ่ง เครื่องออกทุ่ม สบาย ๆ
แต่ว่าที่เจ็บใจก็คือพอมาถึงกรุงเทพ ผมลืมโทรศัพท์ราคาแพงมั่กมาก รุ่น 3310 ไว้ในเป้ แล้วโหลดขึ้นเครื่อง ไม่น่าหาย แต่ว่าลงมาเอากระเป๋าที่สุวรรณภูมิมันหายไปพร้อมกับเศษเหรียญในกระเป๋าอีกประมาณ 50 บาท เฮ้อ แค่นี้มันยังเอา ใครที่มีของมีค่าอย่าได้โหลดลงเครื่องนะครับ เดี๋ยวหาย ไม่เสียดายของที่หาย แต่เจ็บใจครับ แทนคนไทยที่บริการยังเป็นแบบนี้และคงไม่ได้รับการรับผิดชอบใด ๆ ด้วย (ทุกกรณี) ยกเว้นทำประกันการเดินทาง พักที่กรุงเทพหนึ่งคืนก่อนเดินทางกลับเชียงใหม่ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ทริปนี้หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณคนละ 8,500 บาท จากเชียงใหม่ แต่เพื่อนที่ไปจากกรุงเทพเสียไปประมาณคนละ 7,000 บาทครับ ไปกันเยอะก็เลยประหยัดด้วยแหละ ถ้าไปกันแค่สองต่อสอง สงสัยจะตกคนละหมื่นง่ะ เหอๆๆ พิมพ์ซะยาวเลยจบซักที ขอบคุณครับที่ติดตามจนจบ

Read More ...