Latest Stories

ดินแดนมนต์ขลังแห่งท้องทะเล ใครได้มาเยือนเหมือนได้มาซึ่งแก้วแหวนเงินทองแห่งความทรงจำ สำหรับนักดำน้ำผู้มุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ซึ่งความสวยงามของธรรมชาติใต้ทะเล กระบี่ คือจุดมุ่งหมายแห่งความต้องการนั้น หลังจากแพ็คกระเป๋าดำน้ำ โดยไม่ลืมหยิบเร็กกูเลเตอร์ตัวใหม่ถอดด้าม เพื่อให้มันได้สัมผัสซึ่งความเค็มเป็นครั้งแรก หลังจากใช้ของเก่าเก็บมาเกือบ 10 ปีทริปนี้เราได้เพื่อนร่วมทางหลายคนโดยการแนะนำจากกระบี่ออนทัวร์ และกระบี่สกาย ทริปนี้เรายังได้เจอกับเจ้าฉลามวาฬเป็นเพื่อนร่วมทางอีกด้วย
นอกจากความลิงโลดที่ได้เจอกับเจ้าฉลามวาฬที่ไม่พบไม่เจอ กันมาหลายปีแล้ว สิ่งที่น่าดีใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปะการังอ่อนที่บริเวณหินแดงหินม่วงที่เคยมีข่าวคึกโครมกันในปี 2550-2551 ว่าเกิดการล้มตายกันขนานใหญ่เนื่องจากปรากฏการณ์น้ำทะเลเย็นจัดพัดผ่านเข้า มาอันเป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนิลโญ ทำให้ปะการังอ่อนที่หินแดงและหินม่วงตายไปมากมายจนแทบจะเหลือแต่หินโล้น ๆ ซึ่งระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ท้องทะเลก็กลับฟื้นคืนชีวิตให้ปะการังอ่อนที่นี่ก่อเกิดและเติบโตขึ้นมาได้ มากมายจนปกคลุมไปทั่วทั้งกองหิน แน่นขนัดงดงามกว่าเดิมเสียอีก ซึ่งผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับปะการังอ่อนที่หินแดง หินม่วงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แล้วฟื้นคืนสภาพกลับมางดงามได้อย่างรวดเร็วในวันนี้นั้น ได้มีนักวิชาการของกระบี่ทำการติดตามศึกษาไว้บ้างหรือไม่ เพราะการฟื้นคืนสภาพของธรรมชาติในแนวปะการังนั้นอาจจะใช้ระยะเวลาเร็วกว่า ที่เราคิดหรือเราเคยเชื่อกันมากทีเดียว ยิ่งตอนนี้เพิ่งเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ปะการังตายไปมากมายเป็นบริเวณกว้างจนต้องมีการสั่งปิดจุดดำน้ำไปหลายแห่ง เมื่อต้นปี หากจะมีการศึกษาโดยถ่ายภาพหรือวัดระดับการก่อเกิด การเติบโตของปะการังชนิดต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ เอาไว้ เราก็อาจจะทราบความจริง และทราบความเป็นไปของธรรมชาติในแนวปะการังทะเลกระบี่ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อจะนำมาเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการใช้ทรัพยากรทางทะเลในอนาคต ซึ่งน่าจะดีกว่าการสรุปโดยการคาดเดาหรือการใช้ทฤษฎีความเชื่อเก่าๆมาถกเถียง กัน ใครที่อยู่ในแวดวงวิชาการที่เกี่ยวข้องหรือนักวิชาการของอุทยานฯ เจ้าของพื้นที่จะเริ่มต้นลงมือศึกษาวันนี้ก็ยังไม่สายครับ ศึกษาแล้วได้ผลการศึกษาอย่างไรนำมาบอกเล่าสู่สาธารณะชนให้รับรู้ก็จะเป็น ประโยชน์ยิ่งต่อคนรักทะเลกระบี่

แต่สิ่งที่เป็นสุดยอดแห่งความประทับใจในทริปนี้ก็คงต้องยกให้กับการลงดำน้ำ ที่บริเวณหินแดง หินม่วง ซึ่งเป็นหินกลางน้ำที่ตั้งอยู่กลางผืนทะเลกว้างนอกชายฝั่ง ห่างจากเกาะรอกเขตจังหวัดกระบี่ออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ใช้เวลาวิ่งเรือราว 2 ชั่วโมง กองหินทั้งสองมีลักษณะคล้ายกับภูเขาขนาดย่อมๆ ตั้งชันขึ้นมาจากพื้นทะเล โดยหินแดงมียอดหินโผล่พ้นน้ำขึ้นมาปริ่มๆ ราวเมตร 2 เมตร ในขณะที่หินม่วงนั้นยอดหินจมอยู่ใต้ผืนน้ำในระดับความลึกราว 10 เมตร หินทั้งสองตั้งอยู่ห่างกันราวสัก 500 เมตร หินแดงและหินม่วงเป็นสุดยอดของแหล่งดำน้ำที่สวยงามจุดหนึ่งของท้องทะเล อันดามันตอนใต้เลยทีเดียว โดยจุดเด่นของหินแดงก็คือทั้งกองหินจะปกคลุมไปด้วยปะการังอ่อนสีแดงเต็มไป หมด ในขณะที่หินม่วงนั้นทั้งกองหินก็จะปกคลุมไปด้วยปะการังอ่อนสีม่วงเกือบเต็ม ไปทั้งกองหินเช่นกัน และด้วยความเป็นกองหินกลางทะเลตั้งขึ้นมาโดดเด่น ที่นี่จึงเป็นแหล่งรวมของสรรพชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฝูงปลานานาชนิดเช่นฝูงปลากล้วย ฝูงปลากะพง ฝูงปลาสาก ฝูงปลาทูน่า ฝูงปลาหูช้าง และปลาสวยงามตามแนวปะการังเช่นปลาในกลุ่มปลาผีเสื้อ ปลาสินสมุทร ปลานกแก้ว เป็นต้น ในขณะที่ปลาใหญ่อย่างกระเบนราหู และปลาฉลามวาฬนั้น ที่หินแดงหินม่วงในระยะหลัง ๆ นี้ ก็เป็นแหล่งดำน้ำที่พบเจอทั้งปลากระเบนราหูและปลาฉลามวาฬได้บ่อยครั้ง โดยในเที่ยวนี้เราก็โชคดีที่พบเจอกับปลาฉลามวาฬ ยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเลกระบี่เข้าอย่างจัง โดยพบถึง 2 ตัวด้วยกัน ตัวแรกมีขนาดเล็กหน่อย ขนาดเล็กๆ ความยาวของลำตัวจดปลายหางก็ราวสัก 5 เมตรเห็นจะได้ ว่ายผ่านเข้ามากลางกองหินสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับพวกเราเป็นอย่างยิ่ง ในขณะฉลามวาฬอีกตัวมีขนาดใหญ่กว่า โดยมีความยาวราว 6-7 เมตรเลยทีเดียว ว่ายผ่านเข้ามาโดยโบกแพนหางขนาดใหญ่ไปมาอย่างช้า ๆ ในขณะที่พวกเราสลับเท้าเตะฟินเพื่อตามถ่ายภาพกันเป็นระวิง เจ้าฉลามวาฬทั้งสองตัวว่ายผ่านไปผ่านมาให้เราตามกันอยู่ 2 ไดฟ์แล้วหายลับไป ซึ่งเท่านั้นก็เพียงพอกับความอิ่มเอิบที่มากมายเกินคาด เพราะในระยะปีหลัง ๆ มานี้ ฉลามวาฬกลายเป็นปลาที่หาดูได้ยากเต็มทีในแหล่งดำน้ำบ้านเรา ในขณะที่กระเบนราหูหรือแมนต้าเรย์นั้น สามารถจะพบเจอกันได้โดยไม่ยากนัก เที่ยวนี้จึงเป็นการปิดฤดูกาลดำน้ำทางฝั่งอันดามันที่ดียิ่งของผมเลยทีเดียว


อากาศที่แปรปรวนอันเป็นผลจากภาวะโลกร้อนทำเอาฤดูกาลแปรเปลี่ยนไปหมด ไม่เฉพาะแต่ผู้คนที่ต้องประสบกับภัยธรรมชาติที่แปรปรวนอย่างหนัก จนแม้แต่พืชและสัตว์ก็ยังสับสนงุนงง ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นฤดูกาลอะไรกันแน่ และจะปรับตัวหรือทำตัวอย่างไรถึงจะถูก อย่างพืชบางชนิดจะทิ้งใบเหลือแต่กิ่งก้านก่อนที่จะผลิดอกเต็มต้นในช่วงกลาง ฤดูร้อน แล้วค่อยแตกใบเมื่อดอกร่วงหมดตอนเริ่มจะมีฝน ก็ต้องแตกใบเขียวขจีออกมาพร้อมๆกับดอกเพราะฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักจนราก ชุ่มฉ่ำ กบเขียดที่เคยขุดรูจำศีลในช่วงหน้าแล้งก็ถูกปลุกด้วยสายฝนอันชุ่มฉ่ำให้ขึ้น มาจับคู่ผสมพันธุ์ พืชพรรณหลายชนิดก็ผลิดอกออกผลผิดเวลาผิดฤดูกาล ซึ่งนั่นเป็นตัวอย่างของความแปรปรวนที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้
     
       การท่องเที่ยวทางทะเลกระบี่ฝั่งอันดามันปีนี้ก็ค่อนข้างจะแปรปรวนเอามาก ๆ เพราะกลางมีนาคม-เมษายน ที่เคยเป็นเวลาคลื่นลมเงียบสงบ ท่องเที่ยวหมู่เกาะ ดำน้ำดูปะการังกันได้สนุกสนาน ก็ต้องสับสนวุ่นวายกับฟ้าฝนคลื่นลม บางทริปไปเที่ยวเกาะด้วยเรือเร็ว แต่ต้องกลับด้วยเรือรบก็มีเพราะคลื่นลมรุนแรงจนติดเกาะกันเป็นแถว ซึ่งพอคลื่นลมสงบเงียบทะเลเรียบได้หน่อยก็ถึงเวลาปิดฤดูกาลท่องเที่ยวทาง ฝั่งทะเลอันดามันเสียแล้ว โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันปีนี้ประกาศปิดอุทยาน ฯ วันที่ 30 เมษายน ทำให้บรรดาเรือบริการดำน้ำที่ไม่รู้กำหนดประกาศปิดพานักดำน้ำเดินทางออกไปใน ช่วงหยุดยาววันแรงงาน 1 พฤษภาคม ต้องผิดหวังถูกไล่จับ ไล่กลับออกจากพื้นที่อุทยานฯ กันเป็นแถวโดยไม่มีการอะลุ่มอะหล่วย ก็ถือเป็นความซวยของผู้ประกอบการไป


 ผมค่อนข้างโชคดีครับที่ไปดำน้ำปิดฤดูกาลอันดามันตอนต้นเดือนพฤษภาคมในเส้นทางอันดามันใต้ บริเวณหมู่เกาะห้าใหญ่ กับหินแดง-หินม่วง ซึ่ง บริเวณนั้นอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ซึ่งเขาไม่ได้ประกาศปิดจึงไม่ต้องถูกไล่เหมือนเรืออพยพอย่างที่หมู่เกาะสิมิ ลัน และที่สำคัญไปดำน้ำส่งท้ายปิดฤดูกาลท่องเที่ยวอันดามันปีนี้ ได้พบได้เจออะไรดีๆ ที่ประทับใจและก่อให้เกิดความหวังกับท้องทะเลไทยขึ้นมาอย่างมากเลยทีเดียว ครับ
     
       ออกจากท่าน้ำเมาที่กระบี่กันเกือบเที่ยงคืน เรือภาณุนีก็พาเรามาถึงหมู่เกาะห้าในตอนเช้าตรู่ ซึ่งเป็นเกาะหินเล็ก ๆ 5 เกาะรวมตัวอยู่ด้วยกันในเขตน่านน้ำจังหวัดกระบี่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของ เกาะลันตา ซึ่งที่นั่นเราลงดำน้ำกันที่เกาะ 5 เหนือ ซึ่งบริเวณลานทรายใต้น้ำหน้าเกาะมีดงปะการังอ่อนชนิดต้นใหญ่อวบขาว ขึ้นอยู่มากมายเป็นพื้นที่กว้างเกือบสนามบาสเกตบอลเลยทีเดียว เป็นดงปะการังอ่อนที่ยังคงสมบูรณ์มาก เห็นแล้วก็น่าชื่นใจที่ยังมีแหล่งดำน้ำที่มีปะการังอ่อนที่สวยงามสมบูรณ์ เช่นนี้เหลืออยู่ในท่ามกลางข่าวร้ายว่าปะการังฟอกขาวและตายไปเป็นบริเวณ กว้างทั่วทั้งทะเลอันดามันในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นอกจากลานปะการังอ่อนที่สมบูรณ์บริเวณเกาะห้าเหนือแล้ว หมู่เกาะห้านี้ยังมีถ้ำใต้น้ำที่สวยงามท้าทายให้ดำให้มุดกันมากมายหลายถ้ำ ทั้งโพรงถ้ำขนาดใหญ่ โพรงถ้ำขนาดเล็ก และมาเที่ยวนี้เราพบฝูงปลากล้วยจำนวนมากมายเป็นพัน ๆ ตัวรวมฝูงกันอยู่บริเวณลานหน้าปากถ้ำ ทำให้เกิดความรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นมาหน่อยว่าทะเลไทยของเราก็ยังมีความอุดม สมบูรณ์ให้เห็น

อ้างอิง  : http://www.manager.co.th 
กระบี่สกาย http://krabisky.weebly.com
Read More ...

Latest Stories

ลงใต้เที่ยวทะเลกระบี่กันดีกว่า  Krabi lively town lovely people "เมืองกระบี่น่าอยู่ ผู้คนน่ารัก" คำขวัญของจังหวัดกระบี่ที่อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความน่าอยู่ของเมืองนี้ ด้วยข้อความที่อ่านแล้วจำได้อย่างรวดเร็ว แค่ทบทวนไม่กี่รอบก็จำได้ขึ้นใจทีเดียว การได้ไปเยือนกระบี่ครั้งนี้แม้จะใช้เวลาแค่ 3 - 4 วัน แต่เราก็ซึมซับได้ถึงบรรยากาศของชายทะเลฝั่งตะวันตกของท้องทะเลอันดามันทะลุทะลวงทุกอณูขุมขน มาถึงวันแรกก็เริ่มมองหาที่เที่ยวที่จะกลายเป็นจุดพักผ่อนในใจเรา อย่างเช่น หาดอ่าวนางก่อนเป็นอันดับแรก เดินดุ่มๆเข้าไปจองทัวร์กับร้านทัวร์ใจดีอย่างกระบี่ออนทัวร์  เขาแนะนำให้ไปทริป 4 เกาะ ซึ่งในโปรแกรมทัวร์เราจะได้ไปทัวร์ที่ เกาะไก่ ทะเลแหวก เกาะปอดะ และ หาดพระนาง

เกาะไก่ เป็นชื่อที่คนเรือซึ่งเป็นชาวท้องถิ่นใช้เรียกเกาะใหญ่อันดับสองซึ่งนับถัดจากเกาะปอดะ ตรงท้ายเกาะจะมีแท่งหรือเสาหินลักษณะคล้ายไก่หันหน้าไปทางทิศใต้ของเกาะโดดเด่นเป็นสง่า บางคนอาจเห็นเป็นไก่งวงก็ได้ พี่คนขับเรือบอกเราว่า เกาะนี้สมัยก่อนมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า เกาะด้ามขวาน ซึ่งเราคิดว่า ชื่อเกาะไก่นี้แหล่ะ เหมาะสมแล้ว แต่ก็เน๊อะ จินตนาการคนเรามันก็แตกต่างกัน เราจะเรียกเกาะนี้ว่าอะไรเกาะอะไร มันก็สวยแบบของมันวันยังค่ำ  เมื่อพี่คนเรือจอดเรือให้เราไปเล่นน้ำที่เกาะไก่ เราก็โดดลงน้ำทันที ต๊กกะใจ ทำไมน้ำลึกจัง พี่คนเรือบอกว่า วันนี้น้ำใสมาก แต่ต้องระวังหน่อยเพราะน้ำดูตื้น แต่จริงๆแล้วลึกน่าดู แนะนำนะค่ะสำหรับคนว่ายน้ำไม่แข็ง ขอให้สวมเสื้อชูชีพดีกว่า ถ้ากระแสน้ำพัดเราไป เราก็ยังมีชูชีพคอยพยุงเราอยู่ อย่าประมาทนะค่ะ
ดำน้ำดูปะการังเพลินๆพักนึง เห็นคนไทยอีกกลุ่มนึงเฮเสียงดันลั่น เราก็เงยหน้าไปดู เห็นเค้าเอาขนมปังมาล่อปลาเสือให้มากินแล้วถ่ายรูปกันใหญ่ เราคิดว่าเป็นวิธีการเรียกปลาที่ไม่ถูกสักเท่าไหร่ การให้ขนมปังมัน จะไปเปลี่ยนนิสัยของปลา ต่อไปมันอาจจะโดดขึ้นบนเรือมาขโมยอาหารกล่องเราไปกินก็ได้ ม่ายยยยยยช่ายยยยย มันจะติดนิสัยรออาหารคนโดยไม่ค่อยสนใจอาหารที่มันสามารถหาได้เองตามธรรมชาติ ก็เหมือนเราไปให้อาหารปลาสวายที่แม่น้ำหน้าวัดในกรุงเทพไงคะ เราไม่ต้องเรียกปลาแบบนั้นหรอกค่ะ แค่แบมือตบๆบนผิวน้ำเบา ปลาก็มาให้เราถ่ายรูปแล้ว
น้ำทะเลที่เกาะไก่วันนี้ใสมาก ปลานกแก้วหลายสี รวมทั้งปลากะตูนร์เราก็สามารถหาเจอได้ที่นี่ค่ะ วันนี้พิเศษมาก เจอเต่าด้วย พี่คนเรือบอกว่า เมื่อก่อนเต่าที่นี่มีเต่าเยอะ เป็นเต่ากระ มีกระดองที่สวยแวววาว แต่ตอนนี้มีไม่กี่ตัว เพราะสมัยก่อนโดนล่าเอากระดองมาทำแหวนหรือกำไลราคาแพง เห็นมั๊ยค่ะ มีแต่เราเองนั่นแหล่ะที่ไปทำลายธรรมชาติโดยตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาเยอะนักหนา ถึงคราวเราต้องให้อะไรกับธรรมชาติบ้างนะคะ

บริเวณเกาะไก่ ยังมีเกาะอีก 3 เกาะ ก็คือเกาะปอดะ ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ เกาะทับแล้วก็เกาะหม้อ เป็นเกาะเล็กๆอยู่ระหว่างเกาะไก่และเกาะปอดะ เป็นเกาะเล็กแต่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เพราะที่เกาะเล็กๆนี่คือเวทีแห่งปรากฎการณ์ธรรมชาติ ชนิด Uncut เอ๊ยยยยยย Unseen Thailand เลยทีเดียว นั่นก็คือปรากฏการณ์ ทะเลแหวก นั่นเอง เมื่อน้ำลด ทั้งสามเกาะคือ เกาะไก่ เกาะปอดะ และเกาะหม้อจะถูกเชื่อมต่อเข้าหากัน กลายเป็นหาดทรายที่ขาวสะอาดทอดยาว ความสวยงามนี้เองทำให้ทั้งสี่เกาะของทะเลกระบี่แห่งนี้นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทะเลแหวก ชนิด Unseen ที่หลายๆคนพูดถึงและหาโอกาสมาเยี่ยมเยือนที่นี่ให้จงได้ น้ำลดแล้ววู้ๆๆๆๆๆ เอาล่ะลุยทะเลแหวกกันเล๊ยยย
หันซ้ายทีขวาที คนเยอะเหมือนกัน มะเป็นไร เค้าก็มาเสพธรรมชาติเหมือนกันกับเรา ว่าแล้วเราก็เดินจากเกาะไก่ไปทะเลแหวกทันที ตอนที่เราเดินไปเนี่ยน้ำยังลดลงไม่สุดนะคะ น้ำสูงประมาณขาอ่อน แต่ก็เดินได้สะดวก เห็นแนวหาดทรายเป็นแนวยาวไปสุดเกาะหม้อ โอ้โห ทำมายมันไกลจัง ไม่เป็นไรเดินไปเรื่อยๆ ขอบอกนะคะในวันฟ้าใสของกระบี่แบบนี้ แดดแรงมากๆครีมกันแดดต้องพกมานะคะม่ายงั้นตัวจะดำและก็ลอกเป็นแผ่นๆจนเราแอ๊บแบ๊วไม่ออกได้นะคะ
และแล้วเราก็เดินมาถึงเกาะหม้อ เย่ๆ ทิวทัศน์ที่นี่สวยมากค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าเมืองไทยเราจะมีเกาะที่สวยงามได้ขนาดนี้ อิจฉาคนกระบี่มากๆที่เกิดมาเป็นเจ้าของผืนดินแห่งนี้...  เดินชมสถานที่สักพักเราก็ออกไปดำน้ำดูปลาอีก ที่นี่มีปะการังน้ำตื้นอยู่ใกล้ๆโดยที่เราไม่ต้องว่ายน้ำออกไปไกลๆ ปลาเยอะมากค่ะ ขอบอก ฟังหลายคนพูดว่า ที่นี่ไม่เห็นสวยเท่าเกาะช้างเลย เราก็เคยไปเกาะช้างนะ ยอมรับค่ะว่าสวยมาก แต่ก็ต้องนั่งเรือไปไกลเช่นกัน แต่นี่เรานั่งเรือมาจากฝั่งแค่ 30 นาที ก็เจอสวรรค์แล้ว แล้วเราจะไม่ตกหลุมรักหนุ่มหน้ามนต์นามว่า กระบี่ คนนี้ได้ไงค่ะ
เล่นน้ำดูปะการังได้สักพัก พี่คนเรือก็มาตามเราให้ไปว่ายน้ำเล่นต่อที่เกาะปอดะ นั่งเรือประมาณ 7 - 8 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ ก้าวแรกที่ลงไปยังเกาะ แม่เจ้าๆๆ ทรายขาวละเอียดนุ่มมากๆ อยากจะกลิ้งบนหาดสัก 70 ตลบค่ะ แต่ทำไม่ได้ หม่อมแม่บอกมันไม่งาม รอให้คนกลับหมดก่อนค่อยทำ ฮิ๊วววววววว
บนหาดแม้จะมีขยะอยู่บ้าง แต่ก็เป็นธรรมดาค่ะเรื่องขยะ ทำใจกับประเทศไทย สอบถามพี่คนเรือเรื่องขยะ ได้ใจความว่า ที่เกาะปอดะมีบังกะโลซึ่งเป็นของเจ้าของเกาะ ตอนเช้าๆจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บขยะที่ชายหาดของทุกวันเพื่อเตรียมชายหาดให้สะอาดรอนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาชมความงามของที่นี่ ขยะที่เห็นเป็นขยะช่วงกลางวันที่ลมพัดเข้ามา... ฟังแล้วก็ใจชื้นค่ะ และเข้าใจว่าคนดูแลหาดคงต้องตื่นเช้ามากๆแน่ เพื่อมาเตรียมชายหาดให้นักท่องเที่ยวอย่างเรา พี่น้องคร๊าบบบบบบ....   เราต้องช่วยกันดูแลท้องทะเลของเรานะคะ ขยะที่เราสร้างขึ้นขณะมาเที่ยวที่นี่ ห้ามทิ้งเกลื่อนกลาดนะคะ ให้ทิ้งในที่ๆเค้าจัดให้ หรือถ้าหาที่ทิ้งไม่ได้ ยืดอก...พกใส่ถุงมาทิ้งบนฝั่งดีกว่าค่ะ อย่าคิดว่าต้องเกรงใจคนดูแลหาด แต่ให้เกรงต่อธรรมชาติ ในอนาคตถ้าขยะมากขึ้น เราจะเอาอะไรมาเล่าขานบอกต่อถึงความสวยงามของท้องทะเลไทยให้ลูกหลานเหลนโหลนเราล่ะคะ แนวคิดอันนี้เอาไปปรับใช้ได้ทุกสถานที่ค่ะ กิ๊วๆ

แหน่ะบ่นแป๊บนึง พี่คนเรือเรียกอีกแระ บอกว่าจะไป อ่าวพระนาง ซึ่งเป็นหาดสุดท้ายของทริปนี้ และแล้วหัวเรือโทงก็แบนหัวหันหน้ามุ่งสู่ฝั่ง จุดหมายปลายทางคือ อ่าวพระนาง นั่นเอง

ใช้เวลาเดินทางจากเกาะปอดะมาถึงอ่าวพระนางประมาณ 15 - 20 นาที เร็วๆมาก พี่คนเรือเค้าบิดค่ะ ไม่ใช่ปวดท้องนะคะ เค้าบิดคันเร่งเครื่องเรือจริงๆ ตรงเครื่องเรือจะมีมือจับยื่นออกมาสำหรับถือท้ายเรือ ตรงมือจับจะมีเชือกผูกติดกับคันเร่งปั๊มดีเซล มือพี่คนเรือก็จับด้ามถือพร้อมกับกุมเชือกแล้วก็บิดเครื่องไปพร้อมๆกัน เจ๋งมั๊ยค่ะ คนไทยเราถ้าทำอะไร ไม่แพ้ชาติอื่นหรอกค่ะ  อิอิ เกี่ยวมะ

แท่นแท๊นนนนนน ถึงแล่วววว หาดพระนาง หรือ อ่าวพระนาง อุแม่เจ้าๆๆๆๆ อีกครั้ง ทำไมเราถึงได้รู้สึกเหมือนคนรูอะไรแบบนี้ ไม่คิดบ้างว่า ประเทศไทยเราจะมีหาดอะไรสวยแปลกตาแบบนี้ คุณผู้อ่านเคยเห็นมั๊ยค่ะ ถ้ำกับหาดทรายสวยๆ มาอยู่ด้วยกัน มันคลิกค่ะ มันคลิกจริงๆ ถึงแม้หาดจะไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนเกาะที่ไปมาแล้ววันนี้ แต่ด้วยความแปลกตาของถ้ำและภูเขาหินปูนที่ขนานกับหาดทรายแห่งนี้มันช่างโดดเด่นสวยงามจริงๆ

เดินสำรวจไปมาหน้าหาดสักพัก เราก็เดินอ้อมทะลุไปหลังถ้ำ ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงน้ำลงสุดแล้วตามที่พี่คนเรือบอก ด้านหลังนี้จะมีถ้ำเล็กๆให้มุดไปมานิดหน่อย แล้วก็ออกมาเป็นหาดเล็กๆ สวยมากค่ะขอบอก วิวดีมากคิดว่าถ้ามีเวลา จะพายเรือคายัคจากอ่าวนางมาเก็บภาพถ่ายมุมมองตรงนี้จากทะเลค่ะ

"น้องๆ น้องคนสวยน่ะ กลับกันได้แล้วนะ เดี๋ยวน้ำลงมาก พี่เอาเรือไปเก็บที่ท่าไม่ทัน" เสี่ยงพี่คนเรือ ว. มาแต่ไกล อ่ะ กลับก็กลับ แหม่ ยังไมหนำใจเลย ว่าจะขอนอนที่นี่สักคืน แต่ไม่ได้เอาเครื่องนอนอะไรมา พอดีกำลังเดินผ่าน รีสอร์ทสุดหรูที่ ก็เลยอยากจะลองเช่าห้องคืนละ 75000.- นอนเล่นสักคืนดู แหม่ เสียดายไม่ได้พกกระเป๋าตังค์มา เพราะหม่อมแม่ห้ามไว้ค่ะ กลัวเราทำกระเป๋าตังค์ตกทะเลหายไป ยิ่งเซ่อๆอยู่ด้วย

จบค่ะ จบ เด๋วจะมาเล่าทริปวันต่อมาให้อ่านกันแบบมันส์ๆอีก ขอบคุณกระบี่ออนทัวร์ สำหรับทริปดีๆ แถมยังลดให้อีก ทั้งๆที่ไม่ได้ขอสักหน่อย  ขอบคุณ Krabisky ขอบคุณพี่คนเรือ ชื่อ "จำยาก" วันหลังจะมาให้พี่บิดเรือไปถึงเกาะพีพีเลยค่ะ บายยยยยยค่ะ
Read More ...