Latest Stories

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีปี 2555 ขอให้ปีนี้เป็นปีแห่งความสุขและสนุกสนานสำหรับทุกท่านเลยนะคะ
รีวิวเรื่องแรกของปีนี้ ขอเริ่มด้วย Tip ที่ได้จาก Trip กระบี่ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาค่ะ
สำหรับรีวิวนี้ไม่เขียนเยอะ ขอเปลี่ยนรูปแบบเป็นอธิบายด้วยภาพแทนค่า ^^
พร้อมแล้วก็...บินไปกันเลย
เดินทางธันวา ก็ยังต้องลุ้นสภาพอากาศกันนิดหน่อยค่า
อยากบอกว่าการเที่ยวกระบี่ ไม่ได้มีดีแค่ทะเลสวย จริงๆบนบกก็มีที่สวยๆไม่แพ้กัน หากมีโอกาสจะมารีวิวแต่ละที่นะค้ะ ตอนนี้นำทิปเล็กๆ มาฝากกันก่อน
ที่แรก วัดถ้ำเสือ
 
มีลิงเยอะแยะเลย แต่อย่างที่บอกในภาพค่ะ ^^ ระวังเค้าด้วยนะคะ
เจ้าตัวนี้ ทิ้งขวดลงมาจากหลังคาวัด
หากใครมีแรง อยากให้เดินขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทจำลองค่ะ  ระยะทางประมาณ 1,200 กว่าขั้นบันได เราไปคราวนี้ไม่ไหวจริงๆ
ออกจากวัด อย่าลืมแวะทานขนมจีนไก่ทอด คนพื้นที่บอกห้ามพลาดคะ
อิ่มหนำและไปต่อที่สระมรกต สวยเกินห้ามใจ ไม่แพ้ทะเลอันดามัน
ทางเดินเข้าไปชมก็ร่มรื่น
ระหว่างทางเห็นสีน้ำก็ชื่นใจแล้ว
และมื่อความงามปรากฎต่หน้าที่เดินเข้ามาพอสมควร ก็หายเหนื่อยไปเลยทีเดียว
^^
สถานที่ต่อไปคือน้ำตกร้อน ไม่ร้นมาก แช่ตัวกำหลังอ่นสบาย
ตรงน้ำตกไม่ใหญ่มาก แต่ที่อุทยานมีบ่อที่ทำไว้ให้แช่อีกที่หนึ่งด้วย
กลับจากทัวร์ภาคพื้นก็ไปหาทัวร์ทะเลกันเลย แนะนำหน้าอ่าวนางค่ะ ราคาจะถูกกว่าที่ขายตามโรงแรมหลายร้อยบาททีเดียว
เมื่อถึงวันทริปทางทะเล ก็มีข้อควรปฏิบัติดังนี้ค่า
^^
อันนี้ฝากไว้ด้วยค่า ^^
ร้านอาหารตามชายหาด เอกลักษณ์เลยทีเดียว
ลากันไปด้วยภาพดำน้ำกับปลาที่ดันดามันค่า
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเที่ยวไทยนะค้ะ ^^ พบกันใหม่รีวิวหน้าโดยละเอียด สำหรับทริปกระบี่ค่ะ

Read More ...

Latest Stories

เริ่ม:     Feb 20, '08 6:00p
สิ้นสุด:     Feb 24, '08
ทริปกระบี่ 4 วัน 3 คืน

วันที่ 1 - เดินทางถึงกระบี่ด้วย vios สุดสวย ประมาณ 7 โมงเช้า กินข้าวเช้า
- ออกเดินทางสู่อ่าวนาง รอขึ้นเรือ
9.00 น. – ออกเดินทางสู่ทะเลแหวก ชมวิว ถ่ายรูป เล่นน้ำ 
10.30 น. - พาไปดำน้ำที่เกาะไก่ สนุกกับการดำน้ำชมปะการังและฝูงปลามากมาย
- ชมวิวเกาะไก่

12.00 น. – ขึ้นเกาะปอดะ กินข้าวกลางวัน (ข้าวกล่อง)
ช่วงบ่าย - เดินเล่นบนเกาะปอดะ เล่นน้ำ ชมวิว ถ่ายรูป

14.30 น. - พาเที่ยวชมถ้ำพระนาง เล่นน้ำหน้าหาดถ้ำพระนาง เดินเล่น ชมวิว ถ่ายรูป เล่นน้ำ

16.00 น. - เดินทางกลับสู่อ่าวนาง
16.30 น. - เดินทางหาที่พัก 
18.00 น. - ออกตระเวนกระบี่ยามค่ำคืน
• ราคา 450 บาท/คน (เรือหางยาว)
• ราคารวม ค่าเรือ อาหารกล่อง เครื่องดื่ม ชูชีพ หน้ากาดำน้ำ มัคคุเทศก์ ประกันภัย
------------------------------------------------------------
วันที่ 2 - ออกเดินทางสู่อ่าวนาง รอขึ้นเรือ
9.00 น. – ออกเดินทางสู่หมู่เกาะห้อง แวะชมวิวในลากูนที่เป็นเวิ้งน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยสันเขา
- ออกจากลากูน พาเที่ยวชมชายหาดเกาะห้อง เล่นน้ำ ดำน้ำดูปลามากมาย
- ออกจากเกาะห้อง พาเที่ยวเกาะผักเบี้ย แวะขึ้นชายหาด กินข้าวกลางวัน เล่นน้ำ ชมวิว

13.30 น. – ออกจากเกาะผักเบี้ย พาเที่ยวเกาะไร มีเวิ้งอ่าวเล็กที่มีชายหาด เป็นจุดดำน้ำชม
ปะการัง มีปลาการ์ตูนแดง-ดำ ให้ชมหลายจุด
14.30 น. – ออกเดินทางสู่เกาะแดง พาลงดำน้ำชมปะการัง เกาะแดงเป็นเกาะที่ไม่มีชายหาด ชาย เกาะเป็นจุดดำน้ำชมปะการัง มีดอกไม้ทะเลเยอะ และมีปลาการ์ตูนนีโม่ ให้ชมหลายจุด
16.00 น. - เดินทางกลับสู่อ่าวนาง
16.30 น. - เดินทางหาที่พัก 
18.00 น. - ออกตระเวนกระบี่ยามค่ำคืน

• ราคา 600 บาท/คน (เรือหางยาว)+ 40 บาท(ค่าธรรมเนียมขึ้นเกาะห้อง)
• ราคารวม ค่าเรือ อาหารกล่อง เครื่องดื่ม ชูชีพ หน้ากาดำน้ำ มัคคุเทศก์ ประกันภัย
----------------------------------------------------------















วันที่ 3 - ออกเดินทางสู่อ่าวนาง รอขึ้นเรือ
9.00 น. – ออกเดินทางสู่หมู่เกาะพีพี แวะชมเกาะไม้ไผ่ ขึ้นเกาะ ถ่ายรูป ชมวิว เดินเล่นชายหาด
ดำน้ำชมปะการัง

- ออกจากเกาะไม้ไผ่ มุ่งสู่เกาะพีพีเล แวะชมถ้ำไวกิ้ง พาเข้าอ่าวโล๊ะซามะ พาเข้าไปชมวิว
ในลากูนที่ล้อมรอบด้วนสันเขา


- ออกจากลากูน พาเที่ยวชมอ่าวมาหยา เรือจอดให้ดำน้ำชมปะการังหน้าอ่าวมาหยา
จากนั้นพาขึ้นเกาะ เดินเล่นบนชายหาด


12.30 น. – ขึ้นเกาะพีพีดอนที่อ่าวต้นไทร กินข้าวกลางวัน (บุฟเฟ่ต์ในร้านอาหาร)
บ่าย - เดินเล่นชายหาด ชมวิวเกาะพีพีดอน
14.00 น. - พาดำนำที่อ่าวลิง มีกัลปังหากอใหญ่ ปะการังเขากวาง นีโม่
- ขากลับเรือวิ่งผ่านแนวปะการังกลางทะเล หากเป็นช่วงน้ำลง เรือจะแวะให้ลงดำน้ำ
อีกจุด(เป็นโปรแกรมแถม)
16.00 น. - เดินทางกลับสู่อ่าวนาง
16.30 น. - เดินทางหาที่พัก 
18.00 น. - ออกตระเวนกระบี่ยามค่ำคืน

• ราคา 1800 บาท/คน (เรือเร็ว)
• ราคารวม ค่าเรือ อาหารกล่อง เครื่องดื่ม ชูชีพ หน้ากาดำน้ำ มัคคุเทศก์ ประกันภัย
----------------------------------------------------------

วันที่ 4 
น้ำตกร้อน น้ำตกที่ไหลหลั่นลงมาจากเนินเขากลางป่า โดยมีแหล่งแร่น้ำร้อนใต้ดิน ก่อนไหลสู่อ่าง อาบน้ำธรรมชาติ
น้ำตกร้อน ตั้งอยู่บริเวณบ้านบางคราม-บ้านบางเตียว อยู่ห่างจากอำเภอเมืองกระบี่ตามถนนเพชรเกษม (กระบี่-ตรัง) ประมาณ ๔๕ กิโลเมตร จากนั้นแยกเข้าถนนสุขาภิบาล ๒ ตรงที่ว่าการอำเภอคลองท่อมไปอีก ๑๒ กิโลเมตร เป็นน้ำพุร้อนแห่งหนึ่งในบรรดาน้ำพุร้อนอีกหลายแห่งที่กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณนี้น้ำจะไม่ร้อนมาก มีอุณหภูมิประมาณ ๔๐-๕๐ องศาเซลเซียส เป็นน้ำร้อนที่ซึมขึ้นมาจากผิวดินซึ่งมีป่าละเมาะปกคลุมร่มรื่น สายน้ำไหลไปรวมกันตามความลาดเอียงของพื้นที่ บางช่วงมีควันกรุ่นและคราบหินปูนธรรมชาติพอกอยู่เป็นชั้นหนาทำให้เกิดทัศนียภาพสวยงามแปลกตา โดยเฉพาะบริเวณที่ธารน้ำร้อนไหลลงสู่คลองท่อมลดระดับเกิดเป็นลักษณะคล้ายชั้นน้ำตกเล็ก ๆ ค่าเข้าชม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท


สระมรกตสระน้ำสวยใสกลางใจป่า ที่มีน้ำใสเป็นสีเขียวอมฟ้าเปลี่ยนสีไปได้ตามวันเวลาและสภาพแสง
สระมรกต กำเนิดมาจากธารน้ำอุ่น ในผืนป่าที่ราบต่ำภาคใต้ เป็นน้ำพุร้อนลักษณะเป็นสระน้ำร้อน ๓ สระ น้ำใสเป็นสีเขียวมรกต มีอุณหภูมิประมาณ ๓๐-๕๐ องศาเซลเซียส รอบๆ บริเวณเป็นป่าร่มรื่นเขียวครึ้มมีพรรณไม้ที่น่าสนใจ รวมทั้งนกที่หาดูได้ยากเช่น นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเต็นสร้อยคำสีน้ำตาล และนกเงือกดำ โดยมีมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) ซึ่งตั้งชื่อตามคุณทีนา โจลิฟฟ์ ชาวอังกฤษ ผู้ริเริ่มความคิดที่จะรักษาอนุรักษ์ป่าดิบชื้นผืนนี้ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย เพื่อเป็นการระลึกถึงความตั้งใจและเป็นอนุสรณ์สำหรับคุณทีนา จึงตั้งชื่อเส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นนี้ว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) เส้นทางเดินศึกษานี้มีระยะทาง ๒.๗ กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายสื่อความหมายที่จะคอยบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในป่าให้นักเดินทางได้ศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ก่อนถึงสระมรกตของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม ประมาณ ๘๐๐ เมตร เส้นทางจะผ่านผืนป่าเล็ก ๆ ซึ่งเป็นป่าที่ราบต่ำที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยทางภาคใต้ของประเทศไทย เส้นทางนี้จะแสดงลักษณะของป่าดิบชื้นที่ราบต่ำอย่างแท้จริง ภายหลังได้มีการจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางครามขึ้น ค่าเข้าชม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
การเดินทาง จากกระบี่ถึง อ.คลองท่อม เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 4038 แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนรพช. และตามป้ายบอกทางไปจะพบน้ำตกร้อน และสระมรกต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงาน ททท. ภาคใต้ เขต 4 โทร. 0-7621-1036, 07621-2213, 0-7621-7138

สำรวจถ้ำเขาขนาบน้ำ ล่องแม่น้ำกระบี่ 
แม่น้ำกระบี่เป็นสายน้ำเส้นหลักของจังหวัดมีต้นน้ำอยู่ที่เขาพนมเบญจาในเขตอำเภอเขาพนมไหลผ่านหน้าเมืองกระบี่แล้วไปออกทะเลอันดามันเสน่ห์ของการล่องเรือที่แม่น้ำสายนี้คือการได้สัมผัสธรรมชาติป่าชายเลนโดยไม่ต้องเดินทางสมบุกสมบัน เพราะป่าที่สมบูรณ์ผืนนี้ตั้งอยู่ใกล้แค่หน้าเมือง ทั้งได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวประมงชายฝั่งที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ
เขาขนาบน้ำ เป็นเขาสองลูกสูงประมาณ 100 เมตร ขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัวเมืองถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีเท่านั้น จากนั้นต้งอขึ้นบันไดไปชมถ้ำซึ่งภายในมีหินงอกหินย้อย และเคยพบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากมายอยู่ในบริเวณนี้ สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นโครงกระดูกของกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งหลักแหล่งแต่ล้มตายลงเนื่องจากเกิดอุทกภัยอย่างฉับพลันครับ


บริเวณท่าเรือ จุดนี้จะมีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และเป็นท่าเรือมุ่งไปสู่เขาขนาบน้ำ (ภาพโดย: Mushu)

สัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ ทิวทัศน์อันคุ้นตานี้มองทีไรก็ดูมีเสน่ห์

เรือนำเที่ยว โฉมหน้าของเรือที่จะนำพวกเราล่องไปชมธรรมชาติ ซึ่งมีเสื้อชูชีพไว้เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอีกด้วย

ทิวทัศน์อันสวยงาม นอกจากทิวทัศน์ธรรมชาติแล้ว บรรดาเรือต่างๆที่คอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ก็สร้บรรยากาศให้รู้สึกอยากไปเที่ยวมากขึ้น

• ค่าเรือหางยาวนั่งชมทิวทัศน์เขาขนาบน้ำ และธรรมชาติบริเวณใกล้เคียง 
o คนละ 100 บาท หรือ 
o เหมาเรือ ชั่วโมงละ 300 บาท หรือ 
o เหมาเรือ วันละ 1800 บาท













ท่าปอม คลองสองน้ำ
ลแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของอบต.เขาคราม เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่กำลังจะได้รับการประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนชุดที่ 2 ซึ่งกำลังจะเปิดตัวอีกไม่กี่วันนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ซึ่งมีชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “ท่าปอมคลองสองน้ำ” ความพิเศษของป่าท่าปอมคลองสองน้ำก็คือ เป็นป่าชายเลน ที่น้ำเค็มท่วมถึงยามน้ำขึ้น ผสมผสานกับป่าพรุที่มีสายธารน้ำจืดซึ่งเป็นธารน้ำพุใสสะอาดจากใต้ดิน ไหลรินผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตามช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำลง คลองท่าปอมจึงกลายเป็นคลองสองน้ำ ที่บางช่วงเวลาก็จะกลายเป็นคลองน้ำจืดสะอาดใสไหลเย็นฉ่ำ บางช่วงเวลาก็จะกลายเป็นคลองน้ำเค็ม โดยมีผืนป่ารอบข้างที่มีทั้งป่าชายเลนซึ่งเป็นป่าที่เติบโตอยู่ในน้ำกร่อยและน้ำเค็มผสมผสานกับป่าพรุน้ำจืด ซึ่งป่าทั้งสองต่างปรับตัวอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน นั่นเป็นความน่าสนใจของป่าท่าปอมคลองสองน้ำที่ทำให้ผมต้องแวะไปเยือน 

จากกระบี่ใช้เส้นทางกระบี่-อ่าวลึก ระยะทางประมาณ 22 กิโลเมตรก็จะถึงบริเวณ อบต.เขาครามเลี้ยวซ้ายตรงสามแยกที่ป้อมตำรวจ มีป้ายบอกทางเข้าสู่ท่าปอมคลองสองน้ำ มีป้ายบอกทางเป็นระยะจนถึงบริเวณลานจอดรถ ซึ่งเป็นลานจอดรถของเอกชนที่ดัดแปลงสวนปาล์มและสวนผลไม้มาให้บริการอย่างร่มรื่น ค่าจอดรถคันละ 20 บาท เดินลงมาอีกราว 100 เมตร ก็จะถึงริมคลอง ซึ่งประวัติความเป็นมาของคลองท่าปอมหรือคลองสองน้ำนี้ เล่าสืบกันมาว่า แต่เดิมชาวบ้านถือว่าผืนป่าบริเวณคลองสองน้ำนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ค่อยมีใครกล้ากล้ำกรายเข้าไป กระทั่งมีชาวบ้านที่มีความแก่กล้า มีวิชาอาคมเข้ามาบุกเบิกทำไร่ทำสวนและอาศัยอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ซึ่งต่อมาก็เริ่มมีชาวบ้านตามเข้ามาอาศัยอยู่จนเป็นชุมชน แต่ชาวบ้านก็ยังคงถือว่าคลองสองน้ำและผืนป่ารอบข้างเป็นผืนป่าและแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงช่วยกันดูแลรักษาไว้เป็นป่าของชุมชน ความงดงามเป็นธรรมชาติของคลองท่าปอมทำให้เริ่มมีผู้คนเข้าไปเที่ยวชม กระทั่ง อบต.เขาคราม จังหวัดกระบี่ ได้เข้ามาดูแลจัดการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก ททท.จัดทำเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 700 เมตร ลักษณะเป็นสะพานไม้ที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ทอดยาวเป็นวงรอบไปเหนือผืนป่าพรุและป่าชายเลน เพื่อจำกัดให้ผู้คนไม่เข้าไปเหยียบย่ำในผืนป่าพรุและป่าชายเลนบริเวณนั้น จัดเจ้าหน้าที่คอยควบคุมดูแลไม่ให้นักท่องเที่ยวนำอาหารเข้าไปกิน และไม่ทิ้งขยะ 

บนเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาตินี้ยกระดับขึ้นมาราว 2 เมตรจากพื้นดิน ทำให้เป็นระดับที่สามารถมองเห็นเรือนยอดของไม้พุ่มที่แรกเข้าไปส่วนใหญ่จะเป็นไม้ป่าชายเลนอย่างโกงกางที่มีรากค้ำยันให้เห็นอย่างเด่นชัดทางด้านขวามือ ในขณะที่ลึกเข้าไปทางด้านซ้าย เป็นพื้นที่ของป่าพรุ ซึ่งเป็นพรุน้ำจืดที่มีไม้เด่นๆที่สามารถพบเห็นได้อย่างชมพู่น้ำ เสม็ด ตังหน และพืชวงศ์ปาล์มอย่าง หวาย หมาก ระกำ หลุมพี หลาวชะโอน เป็นต้น ป่าทั้งสองประเภทต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เพราะต้องทนทานให้หยัดยืนอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและในน้ำเค็มของสภาพภูมิประเทศที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้ ในยามสายวันนั้น เป็นช่วงน้ำขึ้น ซึ่งน้ำทะเลจากปากคลองไหลดันขึ้นมาจนท่วมผืนป่ารอบข้างสะพานทางเดิน มองไปก็คล้ายกับสภาพของป่าชายเลนที่พบเห็นทั่วไป มองเห็นฝูงปลากระบอกและปลาทะเลอีกหลายชนิด ว่ายเข้ามาหากินตามผืนป่าโกงกาง แต่เมื่อนั่งชมอยู่จนใกล้เที่ยงน้ำเริ่มลง ไปเรื่อยๆ น้ำในคลองเริ่มใสขึ้นมาอย่างผิดตา ด้วยเป็นเพราะอิทธิพลของสายธารน้ำจืดจากคลองท่าปอม ไหลดันน้ำเค็มลงไป เริ่มมองเห็นพืชน้ำใบเขียวสด ที่เมื่อครู่จมอยู่ใต้ผืนน้ำเค็ม พืชเหล่านี้มีเวลารับแดดรับแสงตะวันเป็นช่วงๆ และจมอยู่ใต้ผืนน้ำ ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มเป็นช่วงๆเช่นกัน นับเป็นความมหัศจรรย์ยิ่งที่พืชเหล่านี้สามารถปรับตัวให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ในสภาพที่ไม่เหมือนพื้นที่อื่นใด 

มองลงไปในน้ำใสจะเห็นฝูงปลาขนาดเล็กว่ายเวียนกันไปมา ปลาเหล่านี้ก็มีความเป็นสุดยอดของชีวิตที่สามารถจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมพิเศษเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อของน้ำขึ้นและน้ำลง ซึ่งน้ำในคลองสายเดียวกันที่เดียวกัน แต่บางช่วงเวลากลายเป็นน้ำจืดสนิท บางช่วงเวลาที่ไม่นานนักกลับกลายเป็นน้ำกร่อย น้ำเค็ม ทั้งปลาน้ำจืดในคลองลึกด้านบน กับปลาทะเลน้ำเค็มอย่างปลากระบอกและปลาอีกหลายชนิดที่ว่ายตามน้ำกร่อยเข้ามา ก็ต้องเลือกจัดสรรเวลาให้ดี หากมัวหลงระเริงว่ายเล่นจนเพลิน ปลาทะเลอาจจะต้องกลายเป็นปลาน้ำจืด ปลาน้ำจืดอาจจะต้องกลายเป็นปลาเค็มไปก็ได้ 

สิ่งที่งดงามอย่างหนึ่งริมสายธารใสไหลเย็นของคลองท่าปอมก็คือ รากไม้ที่คดเคี้ยว แตกแขนงงดงาม เพราะไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ในสภาพดินเลนดินชุ่มน้ำ ง่ายต่อการโค่นล้ม จึงต้องมีรากที่แผ่กว้างเป็นฐานยึดเกาะค้ำยัน รากไม้เหล่านี้ช่วยสร้างริมสองฝั่งคลองท่าปอมให้งดงามยิ่ง 

หากสำรวจลึกทวนสายน้ำท่าปอมขึ้นไป ซึ่งบริเวณนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวล่วงล้ำเข้าไป ราว 250 เมตร จะพบสระน้ำสีไพลินงดงามใสวาวอยู่ในท่ามกลางป่าเขียวขจี ชาวบ้านเรียกสระน้ำกลางป่าลึกนี้ว่า แอ่งท่าปอม หรือบางคนก็เรียกสระมรกต เป็นอ่างน้ำที่เกิดจากทางน้ำใต้ไหลพุขึ้นมา และหากเดินขึ้นไปอีกราว 500 เมตร ก็จะพบอ่างน้ำลักษณะเดียวกันอีกอ่างซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า สระน้ำช่องพระแก้ว ซึ่งเป็นน้ำที่เกิดจากธารน้ำใต้ดิน










เช่นกัน สระน้ำทั้งสองมีเส้นทางไหลใต้ดินเชื่อมต่อถึงกัน ก่อนที่จะไหลออกมาเป็นสายธารคลองท่าปอมทั้งสาย ฉะนั้นน้ำในคลองท่าปอมจึงมีความเย็นและใสอยู่ตลอดเวลา 
ความงดงามและมหัศจรรย์ของธารน้ำที่มีลักษณะเฉพาะอย่างคลองท่าปอมนั้น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าเข้าไปศึกษาเข้าไปสัมผัส แต่สิ่งที่น่าห่วงใยก็คือ ปริมาณของนักท่องเที่ยว ที่แม้นจะยังไม่ได้เปิดให้เที่ยวชมอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากไปเที่ยวชมและลงเล่นน้ำกันจนเต็มสายธารไปหมด ทำให้รากไม้ ต้นไม้ ริมฝั่งคลองเริ่มจะทรุดโทรม ผมคงได้แต่หวังว่าเมื่อ ทางอบต.เขาครามจะรีบจัดระบบให้แล้วเสร็จ และเปิดให้เข้าเที่ยวชมกันโดยมีการจำกัดปริมาณของนักท่องเที่ยว และมีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎระเบียบการเข้าเที่ยวชมอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นไม่เกิน 3 ปี ก็คงไม่เหลือความงดงามมหัศจรรย์ไว้ให้เห็น 

ป.ล. รวมๆแล้ว ตลอดทริปน่าจะอยู่ที่ราวๆ 6000 บาท แต่เราน่าจะได้เที่ยวเยอะกว่าไปกะทัวร์

*** โปรแกรมนี้รวบรวมมาจากหลายๆเวบไซด์เพื่อเป็นข้อมูลในการเดินทางท่องเที่ยวกันเอง
โดยจุดมุ่งหมายหลักคือไปซื้อ one day trip ที่กระบี่


กระบี่ออนทัวร์
Read More ...

Latest Stories

กลับมาแว้วววววววว จากการเที่ยวกระบี่ โดยสายการบินแอร์เอเซียตลอดทริป จากเชียงใหม่ - กรุงเทพ - กระบี่ - กรุงเทพ - เชียงใหม่ วันที่ 10-13 พ.ค. หลังจากวางโปรแกรมเที่ยวล่วงหน้าข้ามปี จากโปรโมชั่นดูดเงิน ราคาตั๋ว 0 บาท จ่ายแต่ค่าธรรมเนียมและน้ำมัน

วันแรกเดินทางตลอดทั้งวันกว่าจะถึงกระบี่ก็ปาเข้าไปหกโมงครึ่ง แถมได้เที่ยวสุวรรณภูมิ 2 ชั่วโมงเต็ม ไปเห่าหอนใส่เครื่องบินเป็นบ้านนอกเข้ากรุงจริง ๆ ใครยังไม่ได้ไปสุวรรณภูมิ ขอบอกว่าของกินราคาไม่แพงมากแนะนำ ฟู๊ตคอร์ทชั้น 1 กับมินิมาร์ทชั้น 3 นะครับ ราคาปกติเหมือนข้างนอก แต่นั่งทานในร้าน ก็แพงหน่อย

ถึงกระบี่ก็นั่งรถตู้จากสนามบินเข้าสู่โรงแรม (จองไว้ราคา 600 บาท) พักที่โรงแรมบุรีธารา อยู่ระหว่างอ่าวนาง กับหาดนพรัตน์ธารา ราคาห้องคืนละ 1,800 บาท (จองไว้ในงานท่องเที่ยวไทย) เป็นโรงแรมใหม่ เปิดยังไม่ถึงปี การบริการก็มีขลุกขลักนิดหน่อย แต่รวม ๆ ก็โอเคเลยครับ พอมาถึงก็รีบเช็คอินเลย เพราะหิวมั่กมาก เกือบสองทุ่มถึงได้ออกไปทานข้าว วันแรกทานที่ร้านวังทรายซีฟู๊ต อร่อยมาก แนะนำเลยครับร้านนี้มาแล้วอย่าพลาด อาหารอลังมาก อยู่ติดทะเลลมแรงเย็นสบายดี เสร็จแล้วก็กลับโรงแรม เพราะพรุ่งนี้มีออกทะเลทริปทะเลแหวก ใส่รูปโรงแรมให้ดูกันนะ
ในห้องนอน เน้นให้มาเป็นคู่แหะ อ่างล้างหน้าก็มีสองอัน อ่างอาบน้ำเล็กมาก เขาบอกว่าถ้าลงพร้อมกันจะได้ใกล้ชิดกัน ในห้องน้ำมีฟักบัวแยกต่างหากด้วย


ห้องที่จองมาด้านหลังเป็นสระว่ายน้ำเลย ออกมาลงน้ำทุกวัน แต่เสียดายไม่ติดทะเลนะจ๊ะ (แต่รับรองไม่ต้องกลัวซึนามิเลย เพราะเป็นจุดปลอดภัย555)
มุมมองจากด้านหลังห้องที่อยู่ เงียบมากไม่ค่อยพลุกพล่านสบาย ๆ เหมาะกับการพักผ่อนที่สุด
ทีแรกว่าจะเขียนต่อในภาคแรก แต่ทำไมโหลดรูปในความคิดเห็นไม่ได้ง่ะ เลยขอต่อภาคสองนะครับ เพราะยังไม่ได้เจอพระเอก นางเอกของเรื่องเลย

วันที่สองของการเดินทาง วันนี้จองเรือไปเที่ยวทะเลแหวก รวม 4 เกาะ ก็มีเกาะปอดะ เกาะทับ เกาะหม้อ เกาะไก่ หาดพระนาง และหาดไร่เลย์ ออกจากท่าเรือ ตอนเกือบ 10 โมง ค่าเรือหางยาว เหมาที่หน้าหาดราคาเดียวกัน 2,000 บาทถ้วน มีเสื้อชูชีพให้อย่างเดียว เช่าสน็อกเกิ้ลคนละ 50 บาท ซื้อข้าวกล่องไปทานเอง เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ออกเดินทางได้แวะเกาะแรกที่ปอดะ หาดทรายขาว แดดแรงมาก ๆ ร้อนมากเลยไม่ได้เล่นน้ำ กลัวดำง่ะ ลงจากเรือเดินอยู่บนเกาะซัก 10 นาทีก็ออกเรือไปทะเลแหวกต่อ


ไหน ๆ ก็แวะมาปอดะแล้ว แอบเก็บรูป(พระเอก)เป็นที่ระทึกซักหน่อย ด้านหลังน้ำทะเลใสเห็นปลาเต็มเลย เขาให้อาหารปลากันอยู่ เราเตรียมมาแต่อาหารตัวเอง ไม่มีให้ปลากิน เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันเนาะ

ถึงแล้วทะเลแหวก แต่ช่วงที่ไปน้ำทะเลมันตาย(เขาบอก) ไม่แหวกแล้ว แต่ยังสามารถเดินข้ามไปได้ ระหว่างเกาะไก่กับเกาะหม้อ น้ำลึกประมาณเอวเอง มาแล้วก็ไปเดินลุยเอามันส์


ตรงนี้เป็นระหว่างเกาะทับกับเกาะหม้อ มันก็จะแหวกอย่างนี้ตลอดเวลา ทีแรกเลยนึกว่าเป็นทะเลแหวก ทำไมสั้นจัง (โง่นี่)


จากทะเลแหวกนั่งเรือมาอีกด้านของเกาะไก่ จะได้เห็นหัวไก่อย่างนี้ ตรงนี้เป็นจุดดำน้ำดูปลาและปะการังที่ดำแล้วไม่เห็นจะเจอ แต่มีปลาเยอะ เลยดำกันแค่ 15-20 นาที กลับไปที่หาดพระนางและหาดไร่เลย์ ทีแรกนึกว่าจะเจอฝนเพราะเห็นตกอยู่กลางทะเล และพัดมาทางเรือ แต่ปรากฏว่าลมเปลี่ยนทิศ เลยไม่เจอฝนซักหยด กลับมาถึงโรงแรมบ่าย 2 กว่า ๆ มาเล่นน้ำหลังห้องถึง 4 โมงเย็น อาบน้ำแต่งตัวไปทานข้าวที่หาดนพรัตน์ธารา ร้าน "ครัวธารา หลังสึนามิ" นั่งสามล้อที่กระบี่ไประหว่างหาดคนละ 20 บาท แล้วแวะไปเดินเล่นสำรวจของขายที่อ่าวนางซักหน่อย ค่อยกลับมานอนเตรียมพร้อมต่อพรุ่งนี้ครับ
ติดตามตอนจบกันได้เลยครับ กับ 2 วันสุดท้าย ในกระบี่
วันที่สาม วันนี้ออกกันแต่เช้าเพราะระยะทางที่จะไปไกลกว่าทริปทะเลแหวก วันนี้เราไปกันที่เกาะห้อง ใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชั่วโมง เกาะแรกที่ไปคือเกาะผักเบี้ย เป็นเกาะเล็ก ๆ หาดทรายขาว น้ำใส ไปนั่ง ๆ นอน ๆ ซักแป๊ปเดียวก็ออกเรือไปเกาะลาดิง หรือเกาะรังนก แต่คนเรือที่พาไปเรียกว่า พาราไดซ์ ที่เขาเรียกว่าเกาะรังนกเพราะว่ามีคนที่ทำรังนกอาศัยกันอยู่บนเกาะนี้ เป็นคนงานของบริษัทที่รับสัมปทานมาอีกที แล้วไปต่อที่เกาะห้องในลากูนน้ำลกแล้ว ทำให้อยู่ได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นเรือจะเกยตื้น แต่ถ้าไปเช่าเรือคายัคมาพายก็สบาย ๆ แต่วันนี้แดดร้อนมากและขี้เกียจเลยไม่เอาดีกว่า ค่าเช่าก็ 400 บาท พายจนเหนื่อย ไปหยุดพักที่หาดบนเกาะห้อง เสียค่าขึ้นเกาะ 20 บาท แดดร้อนมากๆๆๆ แต่ลมเย็นสบาย หามุมสงบใต้ต้นไม่นอนพัก เผลอแป๊ปเดียวนอนหลับไปเกือบชั่วโมง ทีแรกว่าจะไปดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นต่อ แต่ว่าลมและคลื่นแรง เลยไม่ไปดีกว่า กลับกันดีกว่า มาถึงโรงแรมบ่ายสามโมง วันนี้เล่นน้ำจนึง 5 โมงเย็นเลย เอาให้คุ้มนานมาเที่ยวทั้งที (แต่ไม่ชอบเล่นน้ำทะเล มันร้อนกลัวดำ และมันเหนียวตัวง่ะ) ขึ้นจากน้ำ ตัวเปื่อยได้ที่ ก็อาบน้ำไปหาอะไรกิน วันนี้อาหารเย็นไม่ค่อยประทับใจเพราะไปลองกินที่คล้าย ๆ ฟู๊ตคอร์ทตรงอ่าวนาง แต่แพงเหมือนร้านอาหาร และได้นิดเดียว รสชาดก็งั้น ๆ ใครไปอย่าได้เผลอไปกินเชียว เข็ดครับ ยังไม่พอไปกินไอศกรีม ร้าน home made จำชื่อไม่ได้ แต่สีร้านสดใสๆ มีร้านเดียว แพงมาก อุตสาห์สั่ง 4 ลูก 160 บาท เพราะว่าเห็นขายลูกเดียว 49 บาท ประหยัดเกือบยี่สิบบาท ปรากฏว่าได้เท่ากับ้วยน้ำแข็งใสเอง ตักให้ลูกกระจึ๋งนึง แต่ซื้อเป็นลูกได้เกือบครึ่งของที่สั่ง โง่จริง เข็ดอีกแล้วครับ โชคยังดีเจอร้านขายโรตีอร่อยดี กินได้เลยชื่อเจ๊อะไรจำไม่ได้ แต่แกขายอยู่หน้าโรงแรมอ่าวนางวิลล์รีสอร์ท เสร็จแล้วก็กลับเข้านอนพรุ่งนี้เที่ยวบนบกบ้างดีกว่า
ฝากรูปทะเลให้ดูกัน ที่เกาะผักเบี้ยครับ
วันที่สี่ วันนี้เช็คเอาท์โรงแรม นัดรถมารับตอน 9 โมงเช้า ไปเที่ยวบนบกกันบ้าง จองรถไว้ให้ส่งึงสนามบินเลย เหมารวมน้ำมัน 2,400 บาท
ที่แรกก็ไปสุสานหอย 75 ล้านปี ส่วนนางแบบเพิ่งอายุ 27 จ้า แฟนผมเอง (น้องแมว) เป็นเหมือนลานปูน ซึ่งเขาบอกว่าจะยุบตัวพังไปเรื่อย ๆ แล้ว ใครที่อยากซื้อของฝากพวก กระจุกกระจิกที่ไม่ใช่ของกินก็ซื้อกันที่นี่มีให้เลือกเยอะเลย ขนาดว่าแวะดูลานสุสานหอยประมาณ 10 นาที แต่ดูของฝากประมาณครึ่งชั่วโมงเลยง่ะ
มาต่อกันที่เขาขนาบน้ำอยู่กลางเมืองกระบี่เลย ลงรถถ่ายรูปก็ไปกันต่อเลย ทริปนี้ไปกันทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย ผมเอง น้องเหมียว น้องแมว แม่พิมพ์ พ่อวัฒน์ เจี๊ยบ และเต๊ะ(เพื่อนผมมากะแฟน) เรียงจากซ้ายไปขวา

แวะมาไหว้พระกันที่วัดถ้ำเสือ ทำบุญบ้างทำบาปมาเยอะแล้ว ที่วัดนี้จะมีต้นไม้ใหญ่ด้วย แต่กว่าจะเข้าไปดูได้ก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน พอเข้าไปดูต้นไม้มันล้มไปแล้ว เพราะเจอพายุเฮ้อ เวรกำ ตูจะเข้าไปดูทามมายให้เหนื่อยเนี่ย แล้วก็ไม่มีใครบอก แต่ถ้าไหน ๆ ก็มาแล้วมีเวลา ก็เดินเข้าไปดูหน่อยก็ดีครับ เดินจนเหนื่อยไปหาร้านกินข้าวดีกว่า ทีแรกว่าจะไปกินที่ร้านเรือนไม้ แต่ว่าไปถึงคนเต็มร้าน อดเลย นึกว่าโลว์ซีซั่นเลยไม่จองล่วงหน้าก็งี้ เลยไปทานร้านแว ๆ นั้นชื่อ กุลาปาศัย (ประมาณเนี่ย ไม่แน่ใจ) เจ้าของร้านใจดีมาก อาหารพอใช้ได้ สั่งปูนิ่มทอดกระเทียมมามันเค็ม ตอนทานเสร็จเลยบอกเจ้าของร้าน เขาเลยขอติดไว้ให้นามบัตรลด 15% แถมปูนิ่มทอดกระเทียมขนาด 7 คนกิน (เขาเขียนอย่างนี้เลย) ให้มาใช้ที่ร้าน ตอนนี้ให้นามบัตรพี่ชายแมวไปแล้ว เขาจะไปกระบี่ปลายเดือนนี้พอดี แต่ไปแค่ 2 คน ไม่รู้จะกินไหวไหม

อิ่มมาก ๆ ก็ไปต่อกันที่สระมรกต น้ำก็อย่างที่เห็นเหมือนสระว่ายน้ำเลย ลึกประมาณ 1-2 เมตร แต่ไม่ได้ลงเล่น เพราะไม่ได้เอาชุดไปเปลี่ยน แต่ว่ากว่าจะเข้าไปถึงสระก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน อาหารเกือบย่อยหมดแนะ ก็เดินไปซะ 800 เมตร ไป-กลับก็ร่วมกิโลกว่า ๆ เหงื่อแตกพลั่กเลย แล้วไปต่อที่น้ำตกร้อน เอาขาแช่น้ำซัก 5 นาทีก็กลับแล้วเดี๋ยวตกเครื่องบินไม่มีอะไรมาก เอาไว้มาเที่ยวน้ำพุร้อนที่เชียงใหม่มันส์กว่า อุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 40 องศา(น้ำตกร้อน) กำลังดี งสนามบิน 5 โมงครึ่ง เครื่องออกทุ่ม สบาย ๆ
แต่ว่าที่เจ็บใจก็คือพอมาถึงกรุงเทพ ผมลืมโทรศัพท์ราคาแพงมั่กมาก รุ่น 3310 ไว้ในเป้ แล้วโหลดขึ้นเครื่อง ไม่น่าหาย แต่ว่าลงมาเอากระเป๋าที่สุวรรณภูมิมันหายไปพร้อมกับเศษเหรียญในกระเป๋าอีกประมาณ 50 บาท เฮ้อ แค่นี้มันยังเอา ใครที่มีของมีค่าอย่าได้โหลดลงเครื่องนะครับ เดี๋ยวหาย ไม่เสียดายของที่หาย แต่เจ็บใจครับ แทนคนไทยที่บริการยังเป็นแบบนี้และคงไม่ได้รับการรับผิดชอบใด ๆ ด้วย (ทุกกรณี) ยกเว้นทำประกันการเดินทาง พักที่กรุงเทพหนึ่งคืนก่อนเดินทางกลับเชียงใหม่ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ทริปนี้หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณคนละ 8,500 บาท จากเชียงใหม่ แต่เพื่อนที่ไปจากกรุงเทพเสียไปประมาณคนละ 7,000 บาทครับ ไปกันเยอะก็เลยประหยัดด้วยแหละ ถ้าไปกันแค่สองต่อสอง สงสัยจะตกคนละหมื่นง่ะ เหอๆๆ พิมพ์ซะยาวเลยจบซักที ขอบคุณครับที่ติดตามจนจบ

Read More ...

Latest Stories



จากการพบรอยพระพุทธบาท ที่เมืองสระบุรี พ.ศ. 2145สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
จึงเสด็จไปนมัสการรอยพระพุทธบาทโดยทางชลมารค และสถลมารค
และได้โปรดเกล้าให้สร้างตำหนักเป็นที่ประทับระหว่างทาง และสันนิษฐานว่าได้โปรดฯ
ให้สร้างตำหนักขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ที่ตำบลริดวัดเทพจันทร์ ใกล้แม่น้ำป่าสัก ซึ่งสันนิษฐานว่า
ตำหนักนี้คงถูกแปลงเป็นวิหารในวัดใหม่ประชุมพล อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระมหากษัตริย์ที่ครองกรุงศรีอยุธยา ต่อจากนั้นมาทุกพระองค์จะต้องเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธบาท
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โปรดฯให้สร้างตำหนัก รวมทั้งศาลาที่พักของพระองค์และราษฎร์
ระหว่างทางหลายแห่ง ปัจจุบันพังทลายไปแล้ว และถูกสร้างทับเป็นศาลาพระจันทร์ลอย ประดิษฐานธรรมจักรศิลา
ภายในบริเวณเดียวกันกับวัดนครหลวง
ตามหลักฐานที่ปรากฎในพงศาวดาร ในปี พ.ศ. 2147 สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดฯ
ให้ช่างไปถ่ายแบบปราสาทเมืองพระนครหลวง ในประเทศกัมพูชา มาสร้างใกล้วัดเทพพระจันทร์ อำเภอนครหลวง
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จากการดำเนินงานทางโบราณคดี ได้พบว่า วัตถุประสงค์แรกเริ่มของการสร้างปราสาทนครหลวง
คือ เพื่อให้เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา
มิใช่ที่ประทับระหว่างทางในการเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทดังที่เข้าใจกันมาแต่เดิมสำหรับตำหนักที่ประทับพั
กร้อนนั้น คือ ตำหนักนครหลวง การก่อสร้างปราสาทนครหลวงยังไม่แล้วเสร็จในสมัยพระเจ้าปราสาททอง
และถูกทิ้ร้างอยู่เป็นระยะเวลายาวนาน โดยไม่มีกษัตริย์องค์ใดสร้างต่อแต่อย่างใด จนใน พ.ศ. 2356
ตาปะขาวปิ่น ได้สร้างวัดนครหลวงขึ้นมาโดยรวมเอาปราสาทนครหลวงเข้าไว้ในเขตวัดด้วย
และได้สร้างพระบาทสี่รอยไว้บนลานชั้นที่ 3 ของปราสาทนครหลวง ต่อมาใน
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 2446 พระครูวิหารกิจจานุการ (ปลื้ม)
เมื่อครั้งยังเป็นพระปลัดอยู่นั้น ได้รวบรวมกำลังศรัทธาประชาชน
และพระบรมศานุวงศ์มาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดนครหลวง ในส่วนของปราสาทนครหลวงนั้น บนลานชั้นที่ 3
ปฏิสังขรณ์พระพุทธรูป มณฑป พระบาทสี่รอยมณฎประจำมุม ประจำด้าน
วิหารคดเก้าอี้ศิลปะแบบจีนขึ้นแทนสิ่งก่อสร้างเดิม ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง



มณฑปพระบาทสี่รอย สร้างขึ้นบนลานชั้นบนของปราสาทนครหลวง
ตรงตำแหน่งที่เคยพบซากปรางค์ประธานเป็นมณฑปทรงจตุรมุข ขนาด 8 คูณ 19 เมตร ก่ออิฐถือปูน
มีประตูทางเข้ามุขละ 2 ประตู ที่หน้ามุขด้านตะวันตก จารึกปีที่ปฏิสังขรณ์มณฑปหลังนี้ เมื่อ พ.ศ.
2446 ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบาทสี่รอย ที่คูหามุขแต่ละมุขมีพระพุทธรูปตั้งอยู่มุขละ 2 - 4 องค์
เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นซึ่งแกนในของพระองค์จะเป็นหอนทราย
ชั้นส่วนของพระพุทธรูปที่สร้างมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
พระยาทสี่รอยที่ประดิษฐานอยู่ในมณฑปจตุรมุขนี้
มีลักษณะเป็นพระบาทศิลารอยใหญ่ซ้อนกันสี่รอยลึกลงไปในเนื้อหิน ตามคตินิยมทางพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
นิยมการสลักหินเป็นพุทธบูชา เปรียบรอยพระบาทกับอดีตพุทธ 4 องค์คือรอยที่หนึ่ง หมายถึง พระพุทธกกุสนธ์
รอยที่สอง หมายถึง พระพุทธโกนาคมน์ รอยที่สาม หมายถึง พระพุทธกัสสปและรอยที่สี่ หมายถึง พระพุทธโคดม




ณ สถานที่แห่งนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กันก็คือ..ศิลาพระจันทร์ลอย
ศิลาพระจันทร์ลอย เป็นหินขนาดใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร หนาประมาณ 6 นิ้ว
ตามตำนานกล่าวว่าหินพระจันทร์ลอยนั้นลอยน้ำมาแล้วมาหยุดตรงหน้าวัดแห่งนี้



ศาลาพระจันทร์ลอย ตั้งอยู่ห่างจากปราสาทนครหลวงประมาณ 90 เมตร
จากการดำเนินการขุดแต่งเมื่อปีพ.ศ.2534 พบแนวพื้นปูอิฐ
ทำให้ทราบว่าศาลาพระจันทร์ลอยสร้างคร่อมทับสิ่งก่อสร้างเก่าหลังหนึ่งและจากหลักฐานเอกสารสันนิษฐานว่า
ซากสิ่งก่อสร้างนั้น คือ ตำหนักนครหลวง
ซึ่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดฯให้สร้างขึ้นเพื่อใช้ประทับร้อนระหว่างทางเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปน
มัสการพระพุทธบาทสี่รอย จังหวัดสระบุรี
แต่ก่อนมาจากสภาพซากตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระจุมจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในระยะทางเสด็จประ
พาสมณฑลอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2421
ทำให้สันนิษฐานว่าตำหนักนครหลวงคงจะมีลักษณะเป็นตำหนักยาวอย่างพระที่นั่งจันทรพิศาลในพระนารายณ์ราชนิเวศ
น์ จังหวัดลพบุรี

ศาลาพระจันทร์ลอยที่เห็นกันในปัจจุบันเป็นอาคารจตุรมุข
เป็นของที่ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระปลัด (ปลื้ม)
ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูวิหารกิจจานุการอาคารทรงจตุรมุขดังกล่าวเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน
มีบันไดทางขึ้นเตี้ยภายในประดิษฐานพระจันทร์ลอยแผ่นศิลาที่ชาวบ้านเรียกกันว่า พระจันทร์ลอย
ซึ่งประดิษฐานอยู่ในมณฑปจตุรมุขนี้เดิมอยู่ที่วัดเทพพระจันทร์(ปัจจุบันชื่อวัดเทพพระจันทร์ลอย)
ตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่พระวิหารกิจจานุการ
(ปลื้ม)ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่อาคารหลังนี้พระจันทร์ลอยนี้เป็นแผ่นหินแกรนิตรูปวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 2
เมตรหนา 6นิ้ว ด้านหน้าสลักเป็นรูปเจดีย์ 2 องค์ พระพุทธรูป 3 องค์
เจดีย์องค์หนึ่งเป็นรอยสลักอยู่เดิม
แต่เจดีย์อีกองค์หนึ่งและพระพุทธรูปสามองค์มีปูนปั้นพอกให้นูนเด่นออกมามากกว่าหน้าศิลาคงจะมีผู้ทำขึ้นภา
ยหลังด้านใต้มีรอยสลักลายตรงกลางมีรูปต่าง ๆ ที่ปรากฎชัดเป็นรูปปลา 2
ตัวเหมือนสัญลักษณ์ราศรีมีนต่อจากลายมาสลักเป็นลวดโค้งเหมือนรอยต้นพระบาทลายเหล่านี้ลบเลือนมากสันนิษฐาน
ได้ว่าแผ่นศิลาพระจันทร์ลอยนี้คือ ธรรมจักร ซึ่งยังทำไม่เสร็จ



เที่ยวกระบี่ ทัวร์กระบี่
Read More ...

Latest Stories



รายละเอียด
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ( ททท.) สำนักงานกระบี่ ร่วมกับ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ พร้อมใจกันจัดงาน  “วันรักอ่าวลึก ครั้งที่ 5 ประจำปี 2554” เพื่อสืบสานเอกลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างรู้คุณค่า



ททท.สำนักงานกระบี่ อำเภออ่าวลึก จ.กระบี่ ร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐและเอกชนพร้อมใจกันจัดงาน    “รักอ่าวลึกครั้งที่ 5 ประจำปี 2554” ในระหว่างวันที่ 3 – 5 ธันวาคม 2554 ณ สนามที่ว่าการอำเภออ่าวลึก อ. อ่าวลึก     จ. กระบี่  เพื่อแสดงมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น และอาศัยแนวคิดการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง มานำเสนอ ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมย้อนยุคจากชาวอำเภออ่าวลึกทุกตำบล ที่ต่างพร้อมใจกันมาร่วมจัดงานในครั้งนี้

สำหรับปีนี้จะจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม  เพื่อเป็นการเฉลิม  84  พรรษา  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รูปแบบการจัดงานยังคงแนวคิดย้อนยุคเช่นเดิม  นอกจากนั้นยังมีการนำวัฒนธรรมพื้นบ้าน  และวิถีชีวิตของชาวบ้าน  ศิลปะการแสดงพื้นบ้านซึ่งเป็นไฮไลท์ในของแต่ละขนำของตำบลต่าง ๆ  พบกับ กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ทัวร์กระบี่ นิทรรศการแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พิพิธภัณฑ์ชุมชน ภาพถ่ายเก่า นิทรรศการการท่องเที่ยว นิทรรศการเรื่องปาล์มน้ำมันและยางพารา พืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดกระบี่ ชมการสาธิตการแกะสลักผักและผลไม้ การร้อยมาลัย ถนนคนเดิน ตลาดย้อนยุค แฟชั่นย้อนยุค เศรษฐกิจสร้างสรรค์จากผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
ททท.สำนักงานกระบี่และชาวอำเภออ่าวลึก  จึงขอเชิญชวน  นักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ  และเพื่อให้งานมีสีสัน  มีเอกลักษณ์  จึงขอเชิญชวนทุกท่านแต่งกายย้อนยุค  เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศและกิจกรรมของงาน  รับรองว่างานสนุก     มีสีสัน  ย้อนยุค  มีเอกลักษณ์ และแถมได้ความรู้  เกิดความรักในถิ่นฐานบ้านเกิดอีกด้วย
***********************************
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกระบี่ 292 ถ. มหาราช  อ. เมือง  จ. กระบี่ 81000 โทรศัพท์  0 7562 2163, โทรสาร   0 7562 2164
ที่ว่าการอำเภออ่าวลึก โทรศัพท์ 075-681 892, 075-681 361

เหมาะสำหรับ: ทุกเพศทุกวัย
ระดับงาน : ท้องถิ่น
Read More ...

Latest Stories

เที่ยวกระบี่ ทัวร์กระบี่



เหมือนไม่นานมานี้เราเพิ่งเจอกัน มันบังเอิญหรือเปล่าไม่แน่ใจ ถ้าเขาเป็นเพื่อนต้องบอกว่าพอรู้ใจกัน ระยะสี่ปี นอกจากรู้จักหน้าค่าตา ยังพอทำให้รู้จักมิตรภาพของเพื่อนมากขึ้น การหวนกลับมาเยี่ยมในเวลาไม่นานนักได้เห็นถึงความเดือดเนื้อร้อนใจที่เพื่อนพอจะช่วยเพื่อน...
 
“กระบี่” ถ้าเป็นชายคงผิวเข้มอย่างชาวเล ปล่อยตัวเองในอ้อมกอดอันดามัน มีผู้คนมากมายตักตวงประโยชน์จากตัวเขา ในความเมินเฉยไม่ใช่ไม่รู้ แต่ยากที่จะหักหาญใครง่าย ๆ แม้บางอย่างไม่อาจกลับคืน แต่เราก็หวนกลับมาเจอกันได้อีก
 
ถ้าเทียบกันด้วยสายตาเขาเป็นคนมีดีในตัว ด้วยเอกลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวกระบี่หลากหลายและงดงาม แม้นใครอาจมองแข็งกระด้าง เราเดินทางมาอีกครั้งและหยุดยืนมองทะเลสีครามเบื้องหน้าตัดกับแพขนานยนต์ที่กำลังสำลักควัน เคลื่อนตัวเข้าใกล้ฝั่งในวันแดดเริงแรงตามแบบชายทะเล แพขนานยนต์หอบเอารถทั้งใหญ่เล็กจากเกาะลันตา มาเทียบ ท่าเรือบ้านหัวหิน
 
ด้วยเกาะลันตาห่างตัวกระบี่แค่ 50 กิโลเมตร ทำให้อาณาเขตแห่งความเจริญคืบคลานไปแฝงตัวอยู่รอบเกาะ เพราะหลังจากเราหย่อนก้นลงบนม้านั่งแพขนานยนต์แล้วมองออกไปยังพื้นที่เวิ้งว้างของชายทะเล เป็นอีกครั้งที่เราไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อคลื่นที่แฝงตัวใต้ท้องน้ำ ถึงใคร ๆ จะบอกว่าหน้านี้ไม่ควรเที่ยวทะเลด้วยกลัวมรสุม แต่สิบปากว่าไม่เท่ามาชมของจริง
 
ไม่ทันที่คนฟุ้งซ่านอย่างเราจะคิดอะไรต่อ รถก็มาจอดที่ร้านอาหารริมหาดเกาะลันตาใหญ่ ยอดคลื่นกำลังโถมตัวซัดหาดทราย มันคล้ายมาตราวัดอย่างหนึ่งของร้านค้าในเกาะที่จำต้องปิดตัวเพื่อรอฤดูท่องเที่ยวครั้งต่อไปจะแง้มประตูร้านค้าให้เปิดอีกครั้ง
 
การทิ้งร้านแล้วขึ้นฝั่งไปหาอย่างอื่นทำ ใครก็ทำได้ถ้าเขามีที่ทางในเมืองหรือเป็นแรงงานหนุ่มสาวสมบุกสมบัน แต่ไม่ใช่คนเฒ่าผิวเกรียมแดด ซึ่งเปิดร้านนวดเล็ก ๆ ริมหาด แกยิ้มเห็นฟันห่างเมื่อเห็นเราจด ๆ จ้อง ๆ และรับทักทายจากคนในคณะตามขนบมุสลิม
 
หลานตัวน้อยของแกเล่นสนุกอยู่บนเบาะนวด ผู้เฒ่าบอกอย่างไม่อายว่าปีนี้แย่จังเลยคุณ ร้านค้าในลันตาพากันปิดเร็วกว่าทุกปี ลำพังจะขึ้นไปทำงานบนฝั่ง บ้านและลูกหลานก็ยังอยู่ที่นี่ ใบหน้าที่มีตอหนวดขึ้นหร็อมแหร็มแสดงความเดือดเนื้อร้อนใจคุกรุ่นผ่านแววตาเศร้า
 
ด้วยปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงเป็นอีกผลดีของนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งแสวงหาพื้นที่พักผ่อนเงียบสงบ ขณะเดียวกัน การปีนผา คือการฝึกสมาธิการเดินถ้ำแคบ ๆ ไม่มีแสงไฟตามรายทางให้เดินก็เป็นอีกบททดสอบของรากฐานแห่งหัวจิตหัวใจให้เข้มแข็ง
 
ด้วยความที่ ถ้ำเขาไม้แก้ว ยังคงความดิบ ซึ่งคนที่เข้าไปเที่ยวควรเตรียมตัวโดยใส่รองเท้าหุ้มส้นไม่หลุดง่าย สวมใส่เสื้อผ้าทะมัดทะแมง และไม่ควรนำสัมภาระเข้าไปมากเพราะบางช่วงเป็นช่องแคบ ๆ ที่ต้องคลานแนบชิดกับพื้นถ้ำ ที่สำคัญควรมีไฟฉายคนละหนึ่งอัน ส่วนผู้ที่ไม่ชอบพื้นที่แคบ ๆ ถ้าอยากไปคงต้องทำใจให้เป็นปกติ
 
สำหรับการเดินทางเข้าถ้ำเขาไม้แก้ว เนื่องด้วยอยู่ใน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ทำให้ทางเดินเข้าไปเต็มไปด้วยไม้ใหญ่และโขดหินที่มากมายไปด้วยตะไคร่ พลันถึงปากถ้ำก็เจอด้านที่ผู้สูงอายุหลายคนถึงถอดใจ เพราะในช่องหินแคบ ๆ ต้องไต่บันไดลงไปยังโถงด้านล่าง พอเดินลึกเข้าไปทุกอย่างก็ดูจะมืดสนิท เหลือเพียงทางเดินแคบ ๆ ให้พอเดินเรียงเดี่ยว ช่วงแรกพื้นหินที่เดินยังไม่เฉอะแฉะกับน้ำที่ไหลซึมมาก แต่พอเข้าไปลึกเริ่มสร้างปัญหาให้ต้องตั้งหลักดี ๆ ก่อนก้าว
 
นอกจากต้องปีนบันไดในบางช่วง หลายช่องทางยังต้องไต่สะพานไม้ไผ่      เล็ก ๆ แต่คุ้มสำหรับคนที่ชอบเที่ยวถ้ำ เพราะมีโถงเต็มไปด้วยผนังที่ยามส่องไฟจะเป็นประกายระยิบระยับ แต่ดูจะโหดสุดคือช่วงสุดท้ายก่อนทางออกเป็นช่องเล็กต้องนอนราบแล้วกระดึ๊บตัวไปข้างหน้า โดยต้องปลดสัมภาระทั้งหมดเสียก่อน เช่นเดียวกับคนหุ่นเจ้าเนื้อต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะฝ่าด่านนี้ไปได้ แต่ถือว่าคุ้มกับความพยายามและได้ออกกำลังจนเหงื่อโซมกันเป็นทิวแถว
 
 ปิดท้ายก่อนแสงสุดท้ายของวันบนจุดชมวิวที่จะเห็นทะเลกระทบโขดหินติดกับหย่อมหญ้าเล็ก ๆ ของร้านโน่น ที่เราสามารถสั่งน้ำมาดื่มให้ชื่นใจขณะลำแสงตะวันค่อย ๆ ลดระดับลงก่อนจมหายไปในท้องทะเล ทิ้งไว้เพียงความมืดและริ้วรอยการเดินทางตลอดวันนี้
 
ถึงคนมากหน้าหลายตาจะแวะเวียนมาหาเขาเพลาลง เพราะคาบเกี่ยวฤดูมรสุม แต่ในความครั่นคร้ามของคนที่กลัวคลื่น ยังมีรอยยิ้มของชนท้องถิ่นรอต้อนรับเสมอ ขอเพียงสายลมพัดหวนกลับมาท่องเที่ยวอีกครา.
รู้ไว้ก่อนไปเที่ยว
การเดินทาง จากตัวเมืองกระบี่ใช้ ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) มุ่งหน้าสู่ จ.ตรัง ผ่าน อ.คลองท่อม ถึงหลัก กม. 64 จะพบสามแยก ให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 4260 ไปประมาณ 27 กม. จะถึงท่าเรือแพขนานยนต์บ้านหัวหิน โดยสารเรือ ท่าเรือเจ้าฟ้า ขึ้นเรือที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง รอบเรือขาไป มีด้วยกัน 2 รอบ คือ 10.00 น. กับ 13.30 น. ระยะทางประมาณ 50 กม. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ มาขึ้นเรือที่ท่าเทียบเรือบ้านศาลาด่าน
 
รอบเรือขากลับ มี 2 รอบเช่นกัน คือ 08.00 น. และ 13.00 น. ค่าโดยสารอีกคนละ 20 บาท เรือจะมีบริการในฤดูกาลท่องเที่ยว
 
ภูมิอากาศ เกาะลันตามีสภาพภูมิอากาศอยู่ในแถบป่าฝนเมืองร้อน จะมีช่วงลมมรสุมพัดผ่าน ปีละ 2 ครั้ง โดยจะเป็นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกาะลันตา มีเพียง 2 ฤดูกาล คือ ฤดูฝน และฤดูร้อน
 
ฤดูกาลท่องเที่ยว ที่เหมาะสมจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงเดือนพฤษภาคม และช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมามากที่สุด คือช่วงเดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือนมีนาคมของทุกปี อุณหภูมิอากาศของเกาะลันตาโดยทั่วไปจะอยู่ประมาณ 32-34 องศาเซลเซียสในเวลากลางวันและ 20-25 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน เฉลี่ยแล้วก็จะอยู่ที่ประมาณ 28-30 องศาเซลเซียส
 
สิ่งของต้องเตรียม ควรเตรียมชุดที่แห้งง่าย และถุงกันน้ำ รองเท้าแตะสวมใส่สบาย.
ทัวร์กระบี่ เที่ยวกระบี่
Read More ...

Latest Stories


โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ขอเชิญทุกท่านร่วมต้อนรับ เซ็นทาราอันดาเทวีรีสอร์ทและสปา กระบี่ ภายใต้การบริหารงานของเซ็นทารา ด้วยราคาแนะนำสุดพิเศษ สำหรับห้องดีลักซ์การ์เด้นวิว เริ่มต้นเพียง 2,610 บาท ++ (รวมอาหารเช้า) ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2554 และเริ่มต้นเพียง 3,510 บาท ++ (รวมอาหารเช้า) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2554 ราคาดังกล่าวเป็นราคาต่อห้องต่อคืน สำหรับ 2 ท่าน ยังไม่รวมค่าภาษีและค่าบริการ และให้สิทธิ์ในการพักฟรีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี (ไม่เกิน 2 คน) ที่พักร่วมห้องกับคุณพ่อคุณแม่

เซ็นทาราอันดาเทวีรีสอร์ทและสปา กระบี่ โรงแรมสร้างใหม่ภายใต้การบริหารงานของเซ็นทารา ตั้งอยู่ห่างจากหาดนพรัตน์ธาราเพียง 100 เมตร และยังอยู่ใจกลางเมืองของอ่าวนาง ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่เพียง 40 นาที ประกอบด้วยห้องพักแบบธรรมดาและห้องพักประเภทสวีทจำนวน 135 ห้อง ทุกห้องมี ระเบียงส่วนตัวอันกว้างขวางและได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม อาทิ ห้องพักแบบดีลักซ์การ์เด้นวิว ขนาดตั้งแต่ 36 จนถึง 40 ตารางเมตร จำนวน 72 ห้อง, ห้องพักแบบดีลักซ์พูลวิว ขนาด 42 ตารางเมตร จำนวน 50 ห้อง, ห้องพักแฟมิลี่สวีทพูลวิว ขนาด 83 ตารางเมตร 1 ห้อง, ห้องพักแบบดีลักซ์พูล แอคเซส ขนาด 46 ตารางเมตร จำนวน 11 ห้องและห้องฮันนีมูนสวีทพูลแอคเซส ที่ใหญ่ถึง 92 ตารางเมตร จำนวน 1 ห้อง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก โทร. 0 2101 1234 ต่อ1 หรือ อีเมล์ reservations@chr.co.th หรือเว็บไซต์ http://www.centarahotelsresorts.com/package/CentaraAndaDheviIntroSale.asp
Read More ...