กลับมาแว้วววววววว จากการเที่ยวกระบี่ โดยสายการบินแอร์เอเซียตลอดทริป จากเชียงใหม่ - กรุงเทพ - กระบี่ - กรุงเทพ - เชียงใหม่ วันที่ 10-13 พ.ค. หลังจากวางโปรแกรมเที่ยวล่วงหน้าข้ามปี จากโปรโมชั่นดูดเงิน ราคาตั๋ว 0 บาท จ่ายแต่ค่าธรรมเนียมและน้ำมัน
วันแรกเดินทางตลอดทั้งวันกว่าจะถึงกระบี่ก็ปาเข้าไปหกโมงครึ่ง แถมได้เที่ยวสุวรรณภูมิ 2 ชั่วโมงเต็ม ไปเห่าหอนใส่เครื่องบินเป็นบ้านนอกเข้ากรุงจริง ๆ ใครยังไม่ได้ไปสุวรรณภูมิ ขอบอกว่าของกินราคาไม่แพงมากแนะนำ ฟู๊ตคอร์ทชั้น 1 กับมินิมาร์ทชั้น 3 นะครับ ราคาปกติเหมือนข้างนอก แต่นั่งทานในร้าน ก็แพงหน่อย
ถึงกระบี่ก็นั่งรถตู้จากสนามบินเข้าสู่โรงแรม (จองไว้ราคา 600 บาท) พักที่โรงแรมบุรีธารา อยู่ระหว่างอ่าวนาง กับหาดนพรัตน์ธารา ราคาห้องคืนละ 1,800 บาท (จองไว้ในงานท่องเที่ยวไทย) เป็นโรงแรมใหม่ เปิดยังไม่ถึงปี การบริการก็มีขลุกขลักนิดหน่อย แต่รวม ๆ ก็โอเคเลยครับ พอมาถึงก็รีบเช็คอินเลย เพราะหิวมั่กมาก เกือบสองทุ่มถึงได้ออกไปทานข้าว วันแรกทานที่ร้านวังทรายซีฟู๊ต อร่อยมาก แนะนำเลยครับร้านนี้มาแล้วอย่าพลาด อาหารอลังมาก อยู่ติดทะเลลมแรงเย็นสบายดี เสร็จแล้วก็กลับโรงแรม เพราะพรุ่งนี้มีออกทะเลทริปทะเลแหวก ใส่รูปโรงแรมให้ดูกันนะ
ในห้องนอน เน้นให้มาเป็นคู่แหะ อ่างล้างหน้าก็มีสองอัน อ่างอาบน้ำเล็กมาก เขาบอกว่าถ้าลงพร้อมกันจะได้ใกล้ชิดกัน ในห้องน้ำมีฟักบัวแยกต่างหากด้วย
ในห้องนอน เน้นให้มาเป็นคู่แหะ อ่างล้างหน้าก็มีสองอัน อ่างอาบน้ำเล็กมาก เขาบอกว่าถ้าลงพร้อมกันจะได้ใกล้ชิดกัน ในห้องน้ำมีฟักบัวแยกต่างหากด้วย
ห้องที่จองมาด้านหลังเป็นสระว่ายน้ำเลย ออกมาลงน้ำทุกวัน แต่เสียดายไม่ติดทะเลนะจ๊ะ (แต่รับรองไม่ต้องกลัวซึนามิเลย เพราะเป็นจุดปลอดภัย555)
มุมมองจากด้านหลังห้องที่อยู่ เงียบมากไม่ค่อยพลุกพล่านสบาย ๆ เหมาะกับการพักผ่อนที่สุด ทีแรกว่าจะเขียนต่อในภาคแรก แต่ทำไมโหลดรูปในความคิดเห็นไม่ได้ง่ะ เลยขอต่อภาคสองนะครับ เพราะยังไม่ได้เจอพระเอก นางเอกของเรื่องเลย
วันที่สองของการเดินทาง วันนี้จองเรือไปเที่ยวทะเลแหวก รวม 4 เกาะ ก็มีเกาะปอดะ เกาะทับ เกาะหม้อ เกาะไก่ หาดพระนาง และหาดไร่เลย์ ออกจากท่าเรือ ตอนเกือบ 10 โมง ค่าเรือหางยาว เหมาที่หน้าหาดราคาเดียวกัน 2,000 บาทถ้วน มีเสื้อชูชีพให้อย่างเดียว เช่าสน็อกเกิ้ลคนละ 50 บาท ซื้อข้าวกล่องไปทานเอง เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ออกเดินทางได้แวะเกาะแรกที่ปอดะ หาดทรายขาว แดดแรงมาก ๆ ร้อนมากเลยไม่ได้เล่นน้ำ กลัวดำง่ะ ลงจากเรือเดินอยู่บนเกาะซัก 10 นาทีก็ออกเรือไปทะเลแหวกต่อ
ไหน ๆ ก็แวะมาปอดะแล้ว แอบเก็บรูป(พระเอก)เป็นที่ระทึกซักหน่อย ด้านหลังน้ำทะเลใสเห็นปลาเต็มเลย เขาให้อาหารปลากันอยู่ เราเตรียมมาแต่อาหารตัวเอง ไม่มีให้ปลากิน เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันเนาะ
ถึงแล้วทะเลแหวก แต่ช่วงที่ไปน้ำทะเลมันตาย(เขาบอก) ไม่แหวกแล้ว แต่ยังสามารถเดินข้ามไปได้ ระหว่างเกาะไก่กับเกาะหม้อ น้ำลึกประมาณเอวเอง มาแล้วก็ไปเดินลุยเอามันส์
ตรงนี้เป็นระหว่างเกาะทับกับเกาะหม้อ มันก็จะแหวกอย่างนี้ตลอดเวลา ทีแรกเลยนึกว่าเป็นทะเลแหวก ทำไมสั้นจัง (โง่นี่)
จากทะเลแหวกนั่งเรือมาอีกด้านของเกาะไก่ จะได้เห็นหัวไก่อย่างนี้ ตรงนี้เป็นจุดดำน้ำดูปลาและปะการังที่ดำแล้วไม่เห็นจะเจอ แต่มีปลาเยอะ เลยดำกันแค่ 15-20 นาที กลับไปที่หาดพระนางและหาดไร่เลย์ ทีแรกนึกว่าจะเจอฝนเพราะเห็นตกอยู่กลางทะเล และพัดมาทางเรือ แต่ปรากฏว่าลมเปลี่ยนทิศ เลยไม่เจอฝนซักหยด กลับมาถึงโรงแรมบ่าย 2 กว่า ๆ มาเล่นน้ำหลังห้องถึง 4 โมงเย็น อาบน้ำแต่งตัวไปทานข้าวที่หาดนพรัตน์ธารา ร้าน "ครัวธารา หลังสึนามิ" นั่งสามล้อที่กระบี่ไประหว่างหาดคนละ 20 บาท แล้วแวะไปเดินเล่นสำรวจของขายที่อ่าวนางซักหน่อย ค่อยกลับมานอนเตรียมพร้อมต่อพรุ่งนี้ครับ
ติดตามตอนจบกันได้เลยครับ กับ 2 วันสุดท้าย ในกระบี่
อิ่มมาก ๆ ก็ไปต่อกันที่สระมรกต น้ำก็อย่างที่เห็นเหมือนสระว่ายน้ำเลย ลึกประมาณ 1-2 เมตร แต่ไม่ได้ลงเล่น เพราะไม่ได้เอาชุดไปเปลี่ยน แต่ว่ากว่าจะเข้าไปถึงสระก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน อาหารเกือบย่อยหมดแนะ ก็เดินไปซะ 800 เมตร ไป-กลับก็ร่วมกิโลกว่า ๆ เหงื่อแตกพลั่กเลย แล้วไปต่อที่น้ำตกร้อน เอาขาแช่น้ำซัก 5 นาทีก็กลับแล้วเดี๋ยวตกเครื่องบินไม่มีอะไรมาก เอาไว้มาเที่ยวน้ำพุร้อนที่เชียงใหม่มันส์กว่า อุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 40 องศา(น้ำตกร้อน) กำลังดี งสนามบิน 5 โมงครึ่ง เครื่องออกทุ่ม สบาย ๆ
วันที่สาม วันนี้ออกกันแต่เช้าเพราะระยะทางที่จะไปไกลกว่าทริปทะเลแหวก วันนี้เราไปกันที่เกาะห้อง ใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชั่วโมง เกาะแรกที่ไปคือเกาะผักเบี้ย เป็นเกาะเล็ก ๆ หาดทรายขาว น้ำใส ไปนั่ง ๆ นอน ๆ ซักแป๊ปเดียวก็ออกเรือไปเกาะลาดิง หรือเกาะรังนก แต่คนเรือที่พาไปเรียกว่า พาราไดซ์ ที่เขาเรียกว่าเกาะรังนกเพราะว่ามีคนที่ทำรังนกอาศัยกันอยู่บนเกาะนี้ เป็นคนงานของบริษัทที่รับสัมปทานมาอีกที แล้วไปต่อที่เกาะห้องในลากูนน้ำลกแล้ว ทำให้อยู่ได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นเรือจะเกยตื้น แต่ถ้าไปเช่าเรือคายัคมาพายก็สบาย ๆ แต่วันนี้แดดร้อนมากและขี้เกียจเลยไม่เอาดีกว่า ค่าเช่าก็ 400 บาท พายจนเหนื่อย ไปหยุดพักที่หาดบนเกาะห้อง เสียค่าขึ้นเกาะ 20 บาท แดดร้อนมากๆๆๆ แต่ลมเย็นสบาย หามุมสงบใต้ต้นไม่นอนพัก เผลอแป๊ปเดียวนอนหลับไปเกือบชั่วโมง ทีแรกว่าจะไปดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นต่อ แต่ว่าลมและคลื่นแรง เลยไม่ไปดีกว่า กลับกันดีกว่า มาถึงโรงแรมบ่ายสามโมง วันนี้เล่นน้ำจนึง 5 โมงเย็นเลย เอาให้คุ้มนานมาเที่ยวทั้งที (แต่ไม่ชอบเล่นน้ำทะเล มันร้อนกลัวดำ และมันเหนียวตัวง่ะ) ขึ้นจากน้ำ ตัวเปื่อยได้ที่ ก็อาบน้ำไปหาอะไรกิน วันนี้อาหารเย็นไม่ค่อยประทับใจเพราะไปลองกินที่คล้าย ๆ ฟู๊ตคอร์ทตรงอ่าวนาง แต่แพงเหมือนร้านอาหาร และได้นิดเดียว รสชาดก็งั้น ๆ ใครไปอย่าได้เผลอไปกินเชียว เข็ดครับ ยังไม่พอไปกินไอศกรีม ร้าน home made จำชื่อไม่ได้ แต่สีร้านสดใสๆ มีร้านเดียว แพงมาก อุตสาห์สั่ง 4 ลูก 160 บาท เพราะว่าเห็นขายลูกเดียว 49 บาท ประหยัดเกือบยี่สิบบาท ปรากฏว่าได้เท่ากับ้วยน้ำแข็งใสเอง ตักให้ลูกกระจึ๋งนึง แต่ซื้อเป็นลูกได้เกือบครึ่งของที่สั่ง โง่จริง เข็ดอีกแล้วครับ โชคยังดีเจอร้านขายโรตีอร่อยดี กินได้เลยชื่อเจ๊อะไรจำไม่ได้ แต่แกขายอยู่หน้าโรงแรมอ่าวนางวิลล์รีสอร์ท เสร็จแล้วก็กลับเข้านอนพรุ่งนี้เที่ยวบนบกบ้างดีกว่า
ฝากรูปทะเลให้ดูกัน ที่เกาะผักเบี้ยครับ
วันที่สี่ วันนี้เช็คเอาท์โรงแรม นัดรถมารับตอน 9 โมงเช้า ไปเที่ยวบนบกกันบ้าง จองรถไว้ให้ส่งึงสนามบินเลย เหมารวมน้ำมัน 2,400 บาท
วันที่สี่ วันนี้เช็คเอาท์โรงแรม นัดรถมารับตอน 9 โมงเช้า ไปเที่ยวบนบกกันบ้าง จองรถไว้ให้ส่งึงสนามบินเลย เหมารวมน้ำมัน 2,400 บาท
ที่แรกก็ไปสุสานหอย 75 ล้านปี ส่วนนางแบบเพิ่งอายุ 27 จ้า แฟนผมเอง (น้องแมว) เป็นเหมือนลานปูน ซึ่งเขาบอกว่าจะยุบตัวพังไปเรื่อย ๆ แล้ว ใครที่อยากซื้อของฝากพวก กระจุกกระจิกที่ไม่ใช่ของกินก็ซื้อกันที่นี่มีให้เลือกเยอะเลย ขนาดว่าแวะดูลานสุสานหอยประมาณ 10 นาที แต่ดูของฝากประมาณครึ่งชั่วโมงเลยง่ะ
มาต่อกันที่เขาขนาบน้ำอยู่กลางเมืองกระบี่เลย ลงรถถ่ายรูปก็ไปกันต่อเลย ทริปนี้ไปกันทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย ผมเอง น้องเหมียว น้องแมว แม่พิมพ์ พ่อวัฒน์ เจี๊ยบ และเต๊ะ(เพื่อนผมมากะแฟน) เรียงจากซ้ายไปขวา
แวะมาไหว้พระกันที่วัดถ้ำเสือ ทำบุญบ้างทำบาปมาเยอะแล้ว ที่วัดนี้จะมีต้นไม้ใหญ่ด้วย แต่กว่าจะเข้าไปดูได้ก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน พอเข้าไปดูต้นไม้มันล้มไปแล้ว เพราะเจอพายุเฮ้อ เวรกำ ตูจะเข้าไปดูทามมายให้เหนื่อยเนี่ย แล้วก็ไม่มีใครบอก แต่ถ้าไหน ๆ ก็มาแล้วมีเวลา ก็เดินเข้าไปดูหน่อยก็ดีครับ เดินจนเหนื่อยไปหาร้านกินข้าวดีกว่า ทีแรกว่าจะไปกินที่ร้านเรือนไม้ แต่ว่าไปถึงคนเต็มร้าน อดเลย นึกว่าโลว์ซีซั่นเลยไม่จองล่วงหน้าก็งี้ เลยไปทานร้านแว ๆ นั้นชื่อ กุลาปาศัย (ประมาณเนี่ย ไม่แน่ใจ) เจ้าของร้านใจดีมาก อาหารพอใช้ได้ สั่งปูนิ่มทอดกระเทียมมามันเค็ม ตอนทานเสร็จเลยบอกเจ้าของร้าน เขาเลยขอติดไว้ให้นามบัตรลด 15% แถมปูนิ่มทอดกระเทียมขนาด 7 คนกิน (เขาเขียนอย่างนี้เลย) ให้มาใช้ที่ร้าน ตอนนี้ให้นามบัตรพี่ชายแมวไปแล้ว เขาจะไปกระบี่ปลายเดือนนี้พอดี แต่ไปแค่ 2 คน ไม่รู้จะกินไหวไหม
อิ่มมาก ๆ ก็ไปต่อกันที่สระมรกต น้ำก็อย่างที่เห็นเหมือนสระว่ายน้ำเลย ลึกประมาณ 1-2 เมตร แต่ไม่ได้ลงเล่น เพราะไม่ได้เอาชุดไปเปลี่ยน แต่ว่ากว่าจะเข้าไปถึงสระก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน อาหารเกือบย่อยหมดแนะ ก็เดินไปซะ 800 เมตร ไป-กลับก็ร่วมกิโลกว่า ๆ เหงื่อแตกพลั่กเลย แล้วไปต่อที่น้ำตกร้อน เอาขาแช่น้ำซัก 5 นาทีก็กลับแล้วเดี๋ยวตกเครื่องบินไม่มีอะไรมาก เอาไว้มาเที่ยวน้ำพุร้อนที่เชียงใหม่มันส์กว่า อุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 40 องศา(น้ำตกร้อน) กำลังดี งสนามบิน 5 โมงครึ่ง เครื่องออกทุ่ม สบาย ๆ
แต่ว่าที่เจ็บใจก็คือพอมาถึงกรุงเทพ ผมลืมโทรศัพท์ราคาแพงมั่กมาก รุ่น 3310 ไว้ในเป้ แล้วโหลดขึ้นเครื่อง ไม่น่าหาย แต่ว่าลงมาเอากระเป๋าที่สุวรรณภูมิมันหายไปพร้อมกับเศษเหรียญในกระเป๋าอีกประมาณ 50 บาท เฮ้อ แค่นี้มันยังเอา ใครที่มีของมีค่าอย่าได้โหลดลงเครื่องนะครับ เดี๋ยวหาย ไม่เสียดายของที่หาย แต่เจ็บใจครับ แทนคนไทยที่บริการยังเป็นแบบนี้และคงไม่ได้รับการรับผิดชอบใด ๆ ด้วย (ทุกกรณี) ยกเว้นทำประกันการเดินทาง พักที่กรุงเทพหนึ่งคืนก่อนเดินทางกลับเชียงใหม่ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ทริปนี้หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณคนละ 8,500 บาท จากเชียงใหม่ แต่เพื่อนที่ไปจากกรุงเทพเสียไปประมาณคนละ 7,000 บาทครับ ไปกันเยอะก็เลยประหยัดด้วยแหละ ถ้าไปกันแค่สองต่อสอง สงสัยจะตกคนละหมื่นง่ะ เหอๆๆ พิมพ์ซะยาวเลยจบซักที ขอบคุณครับที่ติดตามจนจบ
Categories: